
"...การเดินหมากเกมนี้ของ ‘ก๊กส้ม’ แม้จะถูก ‘มหามิตร-แฟนคลับด้อมส้ม’ วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง แต่เพื่อชัยชนะในทางการเมือง จึงไม่มีทางเลือกมากนัก อย่างไรก็ดีจุดอ่อนของพรรคนี้ คือมองไม่ขาด-ไว้เนื้อเชื่อใจพันธมิตรมากเกินไป..."
วิกฤติความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชายังไม่ทันเคลียร์
วิกฤติการเมืองไทยก็กำลังเริ่มก่อตัวขึ้น
พลันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องไว้วินิจฉัย กรณีถอดถอน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และมีมติ 7:2 เสียงสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯเป็นการชั่วคราว ทำเอาบรรดา ‘แฟนคลับชินวัตร’ ใจหายไปตาม ๆ กัน

แม้ว่า ‘นักรบห้องแอร์’ จะรู้ทันวางหมากให้ ‘นายกฯแพทองธาร’ นั่งเก้าอี้นายกฯควบ รมว.วัฒนธรรม เพราะถ้าถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ก็ยังสวมหมวก รมว.วัฒนธรรม เข้าไปนั่งประชุม ครม.สั่งการต่าง ๆ ได้ และไม่น่าจะถูกยื่นถอดถอนออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีตัวนี้ เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของ รมว.วัฒนธรรม น้อยกว่านายกฯที่เป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินมาก
แต่ประเด็นที่น่าสนใจ กลุ่มองคาพยพทางการเมืองทั้ง ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ และ ‘ฝ่ายก้าวหน้า’ ต่างเห็นตรงกันว่า ‘นายกฯ’ หมดความชอบธรรมที่จะปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงรัฐบาลชุดนี้ด้วย จึงควรแก่เวลาที่จะ ‘ยุบสภาฯ’ นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะเลือกใครเข้าไปบริหารประเทศอีกครั้ง แม้ว่าจะเพิ่งผ่านการเลือกตั้งปี 2566 มาได้แค่ 2 ปีเศษ และผ่านนายกฯมาแล้ว 2 คนก็ตาม
สำหรับธงของ ‘ฝ่ายอนุรักษนิยม’ เหล้าเก่าในขวดใหม่หน้าเดิม ๆ ที่เห็นหน้าค่าตากันตั้งแต่ช่วงไล่รัฐบาลไทยรักไทยปี 2548 เป็นต้นมา คือการให้นายกฯลาออก ให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว และโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ แถมแกนนำบางคนไม่ขัดขวางหากมีรัฐประหารเกิดขึ้น โดยหากรัฐบาลยังดื้อดึง ก็พร้อมนัดชุมนุมใหญ่ในเดือน ส.ค.เพื่อ ‘แตกหัก’ ซึ่งแตกต่างกับธงของ ‘ฝ่ายก้าวหน้า’ ที่ต้องการให้ยุบสภาฯ นำไปสู่การเลือกตั้งใหม่เพียงเท่านั้น
ทว่าพรรคร่วมรัฐบาลที่แม้จะ ‘เสียงปริ่มน้ำ’ ก็ยักไหล่ไม่สนใจข้อเรียกร้องเหล่านั้น โดยแกนนำ ‘ก๊กแดง’ ที่เป็นเสียงส่วนใหญ่ฝั่งรัฐบาลยืนกรานว่า การเมืองยังไม่ถึงทางตัน รักษาการนายกฯคนปัจจุบัน (ภูมิธรรม เวชยชัย) ไม่จำเป็นต้องยุบสภาฯ เพราะยังต้องดำเนินนโยบายตามที่หาเสียงไว้ให้กับประชาชน รวมถึงแก้ไขปัญหาในประเทศทั้งเศรษฐกิจ และสถานการณ์ชายแดนต่าง ๆ โดยเชื่อว่า ‘แพทองธาร’ จะคัมแบ็กได้กลับมานั่งเก้าอี้นายกฯตัวนี้ต่อ
ดังนั้นเพื่อคลาย ‘เดดล็อกทางการเมือง’ ฝ่าย ‘ก๊กส้ม’ จึงชูโมเดลใหม่คือถ้ารักษาการนายกฯไม่ยุบสภาฯ ก็ให้รอจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย หากผลคำวินิจฉัยเป็นลบ ‘แพทองธาร’ ต้องพ้นเก้าอี้นายกฯ ก็จะมีการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งพรรคประชาชน (ปชน.) พร้อมโหวตให้บุคคลตามบัญชีแคนดิเดตนายกฯที่ยื่นไว้กับ กกต. โดยขณะนี้เหลือผู้มีสิทธิอยู่ 5 คน ได้แก่ พรรคเพื่อไทย 1 คนคือ ชัยเกษม นิติสิริ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 2 คนคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 1 คนคือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และพรรคภูมิใจไทย 1 คนคือ อนุทิน ชาญวีรกูล (ปัจจุบันมาเป็นฝ่ายค้าน)

@ อนุทิน ชาญวีรกูล
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ปัจจุบันเหลือ สส.เพียง 19 คน ทำให้เสียงไม่เพียงพอร้อยละ 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ในสภาฯตามรัฐธรรมนูญ อดชง ‘บิ๊กป้อม’ เป็นนายกฯ ส่วนพรรค ปชน.วางแคนดิเดตนายกฯไว้คนเดียวสมัยพรรคก้าวไกลคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปแล้ว หลังยุบพรรคก้าวไกล
ดังนั้นหากการเมืองมาถึงทางตันจริง ๆ จะเหลือ 2 แคนดิเดตนายกฯที่คาดว่าจะถูกเสนอชื่อเพื่อนั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 32 โดยฝ่ายรัฐบาลคาดว่าจะเสนอชื่อ ชัยเกษม นิติสิริ ขณะที่ฝ่ายค้านคาดว่าจะเสนอชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นแข่งขัน เมื่อหมากเดินมาถึงจุดนี้ พรรคนอกสมการเดิมอย่าง ปชน.ก็กลับเข้ามาอยู่ในสมการ และกลายเป็น ‘คีย์แมนสำคัญ’ ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ทันที
เงื่อนไขของ ปชน.ตามที่ ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน.แถลงและให้สัมภาษณ์เน้นย้ำผ่านสื่อหลายครั้งคือ 1.ปชน.พร้อมโหวตนายกฯคนใหม่ ตามบุคคลที่อยู่ในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตที่ยื่นกับ กกต.เท่านั้น ไม่สนับสนุนนายกฯคนนอก หรืออำนาจนอกระบบ 2.นายกฯคนใหม่ที่ ปชน.จะโหวตให้ ต้องดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางตั้ง ส.ส.ร.ไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 3.เมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่แล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน จะต้องยุบสภาฯ เพื่อเลือกตั้งใหม่ในทันที
สาเหตุประการสำคัญที่ ‘ก๊กส้ม’ ต้องการเลือกตั้งใหม่คือ 1.กระแสกำลังสูง โดยเฉพาะกระแสหัวหน้าพรรคที่เดิมต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่ค่อยมีคนรู้จัก เริ่มค่อย ๆ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จนผลโพลบางสำนักชูว่าเป็นคนที่ประชาชนต้องการให้เป็นนายกฯมากที่สุดตอนนี้ 2.หากปล่อยให้รัฐบาลยังครองอำนาจยืดเยื้อ อาจถูกกลไกราชการ และท้องถิ่นบางอย่างขัดขวาง ทำให้หาฐานเสียงได้ยากมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วน ‘ก๊กน้ำเงิน’ ว่ากันว่า ภายหลังถูกอัปเปหิพ้นรัฐบาลแบบบัวช้ำ-น้ำขุ่น เพราะไม่ใช่แค่หมดอำนาจบริหารเท่านั้น แต่ยังถูก ‘นิติสงคราม’ รุกไล่ ทั้งคดีฮั้ว สว. คดีเขากระโดง ที่ภายหลังปรับ ครม.คาดว่า ‘เพื่อไทย’ เตรียมไล่เช็กบิลเต็มที่แน่นอน ดังนั้นทางเลือกของก๊กน้ำเงินมี 2 ทางคือ 1.ทำอย่างไรก็ได้ วิธีใดก็ได้ ให้ได้กลับเข้าไปถือครองอำนาจรัฐ หรือเป็นรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเข้าไปเคลียร์สารพัดแผล 2.ถ้าเข้าร่วมรัฐบาลไม่ได้ ก็จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด เพื่อรีเซ็ตสารพัดดีล ไปว่ากันใหม่หลังจบการเลือกตั้งครั้งหน้า
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เริ่มจะมีข่าวปล่อยมาว่า ‘แกนนำก๊กส้ม’ ดอดพบอย่างลับ ๆ กับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ อย่างไรก็ดีเริ่มมีการปฏิเสธจากทั้ง 2 ฝ่ายว่าไม่เป็นความจริง ทว่าเริ่มมีเสียงซุบซิบกันหนาหูว่า ‘บิ๊กเนมสีส้ม’ ที่กุมอำนาจอยู่หลังม่านพรรค ต่อสายคุยกับ ‘ครูใหญ่สีน้ำเงิน’ ถึงความเป็นไปได้ในการผลักดัน ‘อนุทิน’ นั่งนายกฯขัดตาทัพแล้ว โดย ‘ก๊กน้ำเงิน’ พร้อมจะเดินตามเกมของ ‘ก๊กส้ม’ ตามที่ว่าไว้?
ประเด็นที่น่าสนใจ การออกมาเปิดเกมของ ‘ก๊กส้ม’ ครั้งนี้ ก็เรียกได้ว่า ‘เล่น 2 หน้า’ เพราะถือไพ่เหนือกว่าทั้ง ‘ก๊กน้ำเงิน-ก๊กแดง’ ทั้งภูมิใจไทยที่มี 71 ที่นั่ง (รวมงูเห่า) หากรวมกับพันธมิตรอย่าง พปชร. 19 ที่นั่ง จะได้เพียง 90 เสียง ไม่พอแม้แต่ยื่นซักฟอกด้วยซ้ำ ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก ต้องยอมเดินตามเกม ‘ก๊กส้ม’ ไปก่อน
ตัดภาพมาที่ ‘เพื่อไทย’ มี สส.ในสภาฯ 142 เสียง หากรวมกับพรรคกล้าธรรม 26 เสียง (เท่าที่มี ยังไม่นับงูเห่า) และพรรคประชาชาติ 9 เสียง รวมกันได้ 177 เสียง ยังไม่นับ ‘พรรคปลาไหล’ ต่าง ๆ อีกหลายพรรคที่รวมกันได้ราว 10-20 เสียง
ส่วนพรรคอนุรักษนิยมเดิม ที่น่าจะจับมือกันหลวม ๆ เช่น พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มี 25 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 36 เสียง ยังไม่แน่ชัดว่าหากการเมืองถึงจุดนั้นแล้ว จะยังสนับสนุน ‘ตระกูลชินวัตร’ ต่อหรือไม่?
ขณะที่ ‘ก๊กส้ม’ โดย ปชน.มี 143 เสียง พรรคเป็นธรรม 1 เสียง และพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ที่ยังล่มหัวจมท้ายกับฝ่ายค้าน 1 เสียง รวมมี 145 เสียง จึงถือเป็น ‘ตัวแปรสำคัญ’ ในการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ ในห้วงที่ไม่มี สว.เฉพาะกาล มาคอยช่วยเหลือแบบในช่วงปี 2566 แล้ว
หาก ‘ก๊กส้ม’ 145 เสียง เดินเกมจับมือกับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ 90 เสียง และไปดึงพรรคปลาไหล 10-20 เสียง จะทำให้จำนวน สส.เกิน 250 คน พลิกขั้วโหวตเลือกนายกฯใหม่ โดยมีเสียงข้างมากแบบปริ่มน้ำในสภาฯ ย่อมทำให้ ‘ก๊กแดง’ และ ‘ตระกูลชินวัตร’ เพลี่ยงพล้ำได้ เพราะก๊กแดงหากรวมกับฝ่ายอนุรักษนิยมเดิมจะได้ สส.ราว 238-240 เท่านั้น ไม่เพียงพอประคองรัฐบาล
ดังนั้นการ ‘ก๊กแดง’ แทบจะไม่มีทางเลือกเหลือมากนัก หากไม่ยอมรับข้อเสนอของ ‘ก๊กส้ม’ อาจทำให้ต้องถูกพลิกขั้วกลายเป็นฝ่ายค้าน เช่นเดียวกับ ‘ก๊กน้ำเงิน’ หากไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว ก็ไม่อาจกลับเข้าสู่อำนาจรัฐ ไปสะสางปัญหาใต้พรมของตัวเองเอาไว้ได้เช่นกัน

‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’
การเดินหมากเกมนี้ของ ‘ก๊กส้ม’ แม้จะถูก ‘มหามิตร-แฟนคลับด้อมส้ม’ วิพากษ์วิจารณ์อยู่บ้าง แต่เพื่อชัยชนะในทางการเมือง จึงไม่มีทางเลือกมากนัก อย่างไรก็ดีจุดอ่อนของพรรคนี้ คือมองไม่ขาด-ไว้เนื้อเชื่อใจพันธมิตรมากเกินไป
จนสุดท้ายอาจตกเป็นเครื่องมือเถลิงสู่อำนาจของ ‘ก๊กแดง-ก๊กน้ำเงิน’ อีกรอบหนึ่งหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไปอีกไม่นานเกินรอ!
