กสม. แนะราชทัณฑ์แก้ไขระเบียบห้ามเจ้าหน้าที่เรือนจำเปิดอ่านจดหมายร้องทุกข์ของผู้ต้องขังที่ส่งไปยังหน่วยงานอื่น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยและความเสี่ยงจากการถูกข่มขู่คุกคาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2565 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนธันวาคม 2564 จากผู้ต้องขังในเรือนจำกลางบางขวางซึ่งมีความประสงค์ขอความช่วยเหลือและความคุ้มครองทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการร้องทุกข์ สืบเนื่องจากผู้ต้องขังรายดังกล่าวเห็นว่าในการร้องทุกข์ที่เป็นเรื่องลับ เจ้าหน้าที่เรือนจำจะตรวจจดหมายก่อนปิดผนึกลับ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สามารถมองเห็นข้อความในจดหมายของผู้ต้องขังได้ และอาจส่งผลให้ผู้ต้องขังไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ปลอดภัยในกรณีที่การส่งจดหมายนั้นเป็นจดหมายร้องเรียนหรือร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภายนอกเกี่ยวกับกรณีพิพาทระหว่างผู้ต้องขังกับเจ้าหน้าที่เรือนจำ จึงขอให้ตรวจสอบและพิจารณาว่าในกรณีที่ผู้ต้องขังร้องทุกข์ต่อหน่วยงานภายนอกจะสามารถปิดผนึกลับได้หรือไม่
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริง หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลและการไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัวโดยพลการหรือโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร และสิทธิในการเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ต่อหน่วยงานของรัฐ ขณะที่ข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง (The United Nations Standard Minimum Rules for the Treatment of Prisoners: The Nelson Mandela Rules) ได้กำหนดให้ผู้ต้องขังมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลหรือหน่วยงานอื่นใดที่มีอำนาจหน้าที่โดยจะต้องมีหลักประกันเพื่อคุ้มครองให้ผู้ต้องขังสามารถยื่นคำร้องขอหรือร้องทุกข์ได้อย่างปลอดภัย และกรณีที่ผู้ต้องขังต้องการให้กระทำอย่างเป็นความลับ ผู้ต้องขังต้องไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ ข่มขู่ หรือได้รับผลกระทบด้านลบอันเนื่องมาจากการยื่นคำร้องทุกข์นั้น
จากการตรวจสอบ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตรวจสอบจดหมาย เอกสาร พัสดุภัณฑ์ หรือสิ่งสื่อสารอื่น หรือสกัดกั้นการติดต่อสื่อสารทางโทรคมนาคมหรือโดยทางใด ๆ ซึ่งมีถึงหรือจากผู้ต้องขัง พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้เจ้าหน้าที่เรือนจำสามารถตรวจสอบข้อความในจดหมาย และมีอำนาจในการระงับ ยับยั้งการส่งจดหมายของผู้ต้องขังได้ โดยมีเหตุผลความจำเป็นเพื่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยของเรือนจำ หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และเพื่อป้องกันเหตุร้ายจากการสื่อสารที่นำไปสู่การกระทำผิดทางอาญา จนเป็นที่มาของการแก้ไขกฎกระทรวงให้ตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายหรือสิ่งสื่อสารอื่นที่มีถึงหรือจากผู้ต้องขังให้ไม่สามารถทำเป็นเรื่อง “ลับ” ได้ การที่เรือนจำตรวจสอบจดหมายหรือคำร้องทุกข์ของผู้ร้อง จึงเป็นการจำกัดเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้ร้องไปตามที่กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้
อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า แม้การดำเนินการของเรือนจำกลางบางขวาง และกรมราชทัณฑ์ ในฐานะผู้ถูกร้อง จะมิได้เป็นการจำกัดเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารของผู้ต้องขังอย่างสิ้นเชิง โดยผู้ต้องขังยังสามารถติดต่อครอบครัวหรือหน่วยงานภายนอกได้หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของระเบียบข้างต้น แต่เมื่อคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องขังในฐานะพลเมือง รวมทั้งมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประกันความปลอดภัยว่า ผู้ต้องขังจะไม่ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบด้านลบอันเกิดจากการยื่นคำร้องทุกข์ การตรวจสอบเนื้อหาในจดหมายหรือสิ่งสื่อสารอื่น หากเป็นกรณีการสื่อสารระหว่างผู้ต้องขังกับหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ดังเช่นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องขังควรที่จะได้รับการประกันเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารมากกว่ากรณีการติดต่อกับบุคคลทั่วไป โดยเรือนจำและกรมราชทัณฑ์ควรดำเนินมาตรการให้แตกต่างไปตามวัตถุประสงค์ของการติดต่อสื่อสารนั้นด้วย ดังนั้น การที่หน่วยงานผู้ถูกร้องทั้งสองกำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจดูจดหมายหรือคำร้องทุกข์ของผู้ร้องที่จะส่งไปยังหน่วยงานภายนอก อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ต้องขัง และไม่เป็นไปตามหลักการที่กำหนดไว้ในมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง จึงถือเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565 จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังกรมราชทัณฑ์ โดยให้พิจารณาทบทวนและแก้ไขกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการร้องทุกข์ของผู้ต้องขัง หากเป็นกรณีการสื่อสารระหว่างผู้ต้องขังกับหน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ ดังเช่นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ต้องขังสามารถปิดผนึก “ลับ” จดหมายหรือคำร้องทุกข์ได้ และเจ้าหน้าที่จะต้องงดเว้นการตรวจสอบเนื้อหาของเอกสารดังกล่าว นอกจากนี้ ให้กรมราชทัณฑ์กำหนดแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เรือนจำเกี่ยวกับการตรวจสอบจดหมายหรือคำร้องทุกข์ของผู้ต้องขังในกรณีที่เป็นการร้องเรียนเจ้าหน้าที่เรือนจำที่มีข้อพิพาทกับผู้ต้องขัง โดยให้ผู้ต้องขังสามารถปิดผนึก “ลับ” จดหมายหรือคำร้องทุกข์ส่งถึงเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ต้องขังโดยตรงได้ ทั้งนี้ให้ดำเนินการ ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานฉบับนี้