เหตุระเบิดถี่ๆ ถูกมองว่าเป็นฝีมือ “บีอาร์เอ็น” โดยเฉพาะห้วงวันที่ 13 มีนาคมและใกล้เคียง ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาบีอาร์เอ็น ครบ 65 ปี เพราะก่อตั้งปี 2503
โดยขบวนการนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี
วันศุกร์ที่ 14 มี.ค.68 อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ก็อ้างว่า ตนเองได้ไปคุยกับบีอาร์เอ็นมาแล้ว ช่วงที่ได้รับอนุญาตจากศาลเดินทางไปมาเลเซีย
“เรื่องนี้ขอเวลานิดหนึ่ง เนื่องจากผมเพิ่งเริ่มลงไป และได้มีการพบกับกลุ่มบีอาร์เอ็นเมื่อตอนไปมาเลเซีย ก็คิดว่าคงต้องพูดคุยกันต่อ ไม่มีอะไร ซึ่งต้องพูดคุยกันให้สะเด็ดน้ำ”
ศาลอาญาอนุญาตให้อดีตนายกฯทักษิณ เดินทางไปมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2-3 ก.พ.68 หากไปพบและพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นจริงตามที่บอก ก็น่าจะเป็นช่วงเวลานั้น
เมื่อกลับมา นายทักษิณก็ลงใต้ ไปเยือนทั้ง 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ.68 พร้อมเอ่ยขออภัยกับความผิดพลาดที่ผ่านๆ มา และประกาศว่าปัญหาชายแดนภาคใต้ต้องจบในปีหน้า ทำให้มีความไปตีความกันต่างๆ นานาว่าจะใช้วิธีใด จบปัญหาไฟใต้
ยิ่งมาเกิดเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ระดับ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เมืองชายแดนสำคัญของ จ.นราธิวาส เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.68 ยิ่งทำให้บทบาทของอดีตนายกฯทักษิณ ถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าส่งผลบวกกับสถานการณ์จริงหรือไม่ แม้เจ้าตัวจะยังคงแสดงความเชื่อมั่นในกรอบเวลาดับไฟใต้ที่ประกาศไว้เองก็ตาม
โดยเฉพาะในมิติของการพูดคุยสันติสุข ซึ่งยังไม่มีการตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ในรัฐบาลแพทองธาร ก็ยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยความสับสน เพราะหากฟังจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลังวันที่ 8 มี.ค. ก็จะพบว่ารัฐบาลกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน ลังเล
เพราะรองนายกฯภูมิธรรม ตั้งข้อสงสัยว่า คู่เจรจาที่ติดต่อประสานงานกันอยู่ ทั้งที่คุยในทางลับและกำลังจะตั้งคณะพูดคุยร่วมกัน เป็น “ตัวจริง” หรีอไม่ และใช่คนที่ควรจะคุยต่อหรือเปล่า
ที่สำคัญ รองนายกฯภูมิธรรม ออกมาสยบข่าวการตั้ง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ของฝ่ายรัฐบาลไทยด้วย แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธแบบสิ้นเชิง แต่ก็เหมือนชะลอเอาไว้ก่อน ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง
และอ้างว่าต้องรอยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับใหม่ที่สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ไปทบทวน ให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน
ส่วนตัวแทนกลุ่ม หรือแกนนำบีอาร์เอ็นที่อดีตนายกฯทักษิณอ้างว่าไปพบปะพูดคุยมาแล้ว คือใคร และเป็น “ตัวจริง” ในความหมายของรองนายกฯภูมิธรรมหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่น่าคิด
แต่จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องในงานความมั่นคง ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายการเมือง ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า อดีตนายกฯไปพบแกนนำบีอาร์เอ็นคนใด
@@ เปิดคลังความรู้ฝ่ายมั่นคงไทย - ใครคือ BRN ?
คำถามที่ต้องถามกันอย่างจริงจัง ณ เวลานี้ก็คือ แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคงไทย “เรารู้จักบีอาร์เอ็นดีแค่ไหน” เพราะการวางสถานะของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้กับรัฐไทย คือมาในรูปแบบของ “องค์กรลับ” ที่ปกปิดโครงสร้างและวิธีการทำงาน
ที่ผ่านมาองค์ความรู้ของฝ่ายความมั่นคงไทยก็มีอยู่ไม่น้อย มีข้อมูลทั้งในรูปแบบรายงาน และงานวิจัยหลายเล่ม
ผลงานที่รู้จักกันในหมู่ทหาร และฝ่ายความมั่นคง เป็นของ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น “กูรูบีอาร์เอ็น” คนหนึ่ง
นอกจากนั้นก็ยังมี พล.ต.บุญรอด ศรีสมบัติ อดีตผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหาร ที่เคยทำวิจัยเรื่องบีอาร์เอ็น และขบวนการก่อความไม่สงบชายแดนใต้ ทั้งในแง่ยุทธวิธี ยุทธการ และแนวทางการต่อสู้ เอาชนะ
โดย พล.ต.บุญรอด ยังเป็นผู้ก่อตั้งหลักสูตร การพัฒน่าองค์ความรู้การก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบสำหรับผู้บริหาร หรือ “หลักสูตร พรส.” ด้วย ซึ่งเปิดให้ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สื่อมวลชน และภาควิชาการที่ไม่ใช่ทหาร ได้เข้าอบรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้วยกันเพื่อความหลากหลาย และมีการผลิตงานวิชาการออกมามากมาย
ฉะนั้นคำถามที่ต้องเร่งหาคำตอบในวันที่รอการทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ก็คือ องค์ความรู้ทั้งหมดนั้นถูกนำมาใช้จริงในการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ มากน้อยเพียงใด
@@ นักวิชาการเยอรมันไขปริศนา BRN ทำไมไทยไม่ชนะ
วันนี้ไม่ได้มีแต่สังคมไทย และฝ่ายความมั่นคงไทยที่ให้ความสนใจองค์กรบีอาร์เอ็น
แต่นักวิชาการจากต่างประเทศ อย่างเยอรมัน ก็สนใจ ให้น้ำหนัก และศึกษาถึงขนาดผลิตงานวิจัยออกมาด้วย
นักวิชาการท่านนี้ชื่อว่า ดอกเตอร์ ซัสชา เฮลบาร์ดท์ (Dr. Sascha Hekbardt) ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง โดย ดอกเตอร์ท่านนี้ได้สรุปข้อมูลออกมาเป็นอินโฟกราฟฟิก และส่งให้นักวิชาการไทย ซึ่ง “ทีมข่าวอิศรา” ได้ขออนุญาตนำมาเผยแพร่
ประเด็นแรก 4 เหตุผล ทำไมรัฐบาลไทยไม่สามารถยุติไฟใต้ได้ ดอกเตอร์ ซัสชา สรุปเอาไว้แบบนี้
1.เครือข่ายผู้มีอำนาจฝ่ายความมั่นคงได้ประโยชน์จากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
- งบประมาณมหาศาลที่จัดสรรให้ฝ่ายความมั่นคง เพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นฐานอำนาจให้กับผู้นำระดับสูง จึงไม่ต้องการให้ความขัดแย้งยุติ
2. BRN เชื่อมั่นแรงกล้าว่า จะได้รับชัยชนะ
- รัฐบาลไทยขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับ BRN และไม่มีความตั้งใจที่จะยุติปัญหาจริง โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้เป็นการยกระดับให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง แต่เมื่อความขัดแย้งยิ่งยืดเยื้อ BRN ยิ่งได้เปรียบ และยิ่งได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ
3. BRN มีเครือข่ายและโครงสร้างที่เข้มแข็ง
- BRN มีโครงสร้างรัฐแอบแฝง มีสมาชิกแทรกตัวในทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะเยาวชน ทั้งโรงเรียน สหกรณ์ ร้านอาหาร และแม้กระทั่งหน่วยงานรัฐ มีการระดมเงินสนับสนุนผ่านกิจกรรมและค่าสมาชิก
4. การขาดยุทธศาสตร์ยุติไฟใต้ที่มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น
- การเจรจาสันติภาพไม่มีความคืบหน้าและไร้ทิศทาง ขณะที่ผู้นำ BRN ตัวจริงไม่ยอมเข้าร่วมเจรจา
- BRN สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ มาเลเซียไม่ให้ความร่วมมือในการกดดันผู้นำ จึงไม่มีเหตุผลที่ BRN จะต้องมอบตัวและยุติความรุนแรง
- พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรค PAS และสันติบาลมาเลเซีย ยังใช้ BRN เป็นเครื่องมือบั่นทอนอำนาจนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเอง
ดอกเตอร์ซัสชา ยังเสนอ “5 หัวใจสำคัญ” เพื่อยุติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บั่นทอนความเข้มแข็งของ BRN ไม่ให้มีทางออกอื่น นอกจากเจรจากับรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง คือ
1. การดำเนินการเชิงรุกเพื่อสกัดกั้นปฏิบัติการใต้ดินของ BRN โดยมุ่งที่โครงสร้างรัฐแอบแฝง หรือ Counter Shadow State /และเปิดช่องทางลงให้ผู้นำ BRN
2.ต่อต้านการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งในกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นระบบ (CVE Strategy)
3.การกีดขวางเส้นทางการสนับสนุนการเงินแก่ BRN หรือ มาตรการ Counter Financing
4.การปฏิบัติการพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน เช่น ไม่มีการทรมาน วิสามัญฆาตกรรม การคุกคามโดยภาครัฐ
5.นโยบายต่างประเทศต้องชัดเจน คู่ขนานกับการเจรจาทางลับ ดึงมาเลเซียให้ร่วมมือและไม่ให้ที่พักพิงแก่แกนนำ BRN
@@ BRN มั่นใจได้ “รัฐเอกราช” - แฉปั้นหลักสูตร มินิ RKK
งานวิจัยของ ดอกเตอร์จากเยอรมัน ที่ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไทยยุติปัญหาไฟใต้ไม่ได้ เพราะ BRN มั่นใจว่าจะประสบชัยชนะ
ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง ที่บอกว่า ความเข้าใจของทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเจรจาเป็นจุดสิ้นสุดสงครามได้ แต่ลืมไปว่า ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่คู่สงครามฝ่ายหนึ่งสิ้นศักยภาพในการรบ หรือไม่มีขีดความสามารถที่จะทำการรบต่อไปด้วย
ฉะนั้นเมื่อเทียบกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนของไทย ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐยอมรับความเป็นจริงของเงื่อนไขทางการเมืองและการทหารว่า โอกาสที่จะเดินไปถึงวัตถุประสงค์สุดท้ายของการตั้ง “รัฐเอกราชใหม่” เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การยุติสงครามเอกราชของกลุ่ม IRA ที่ต่อสู้กับอังกฤษมาอย่างยาวนาน ก็จะทำให้โต๊ะเจรจาเปิดขึ้นอย่างมีความหวังที่จะยุติสงคราม
แต่ BRN ยังไม่ถึงจุดดังกล่าว และยังสามารถใช้กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงในการสร้างสมาชิกใหม่ พร้อมทั้งจัดทำ “หลักสูตรใหม่” หรืออาจจะเรียกว่า “มินิ RKK” ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกการก่อการร้ายแบบเร่งรัดด้วย
มีข่าวว่า กองกำลังติดอาวุธที่ใช้ในเหตุการณ์ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เป็นการเตรียมกำลังชุดใหม่ โดยมีหลักสูตรเร่งรัด ในลักษณะ “มินิคอมมานโด” โดยนำเอานักรบ RKK มีมีอยู่ในพื้นที่ มาฝึกแบบเร่งด่วน เมื่อฝึกจบก็เข้ามาร่วมปฎิบัติงานในพื้นที่ทันที
ดังนั้นในพื้นที่ขณะนี้ จึงมีเหตุรุนแรงที่เกิดจากการโจมตีของกองกำลังที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี เน้นประสิทธิภาพ แม้จะเป็นหลักสูตรเร่งรัด ไม่ได้ฝึกเต็มระบบ แต่ก็มีคุณภาพมากพอที่จะก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่
มีการตั้งข้อสังเกตเล่นๆ ว่า ชื่อหลักสูตร มินิคอมมานโด หรือ มินิ RKK เป็นการตั้งชื่อล้อเลียน หลักสูตรมินิ วปอ. ที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร และคนการเมืองรุ่นใหม่นิยมไปเรียนกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เปิดรุ่น 2 แล้ว
ส่วนข้อสังเกตที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็คือ ภาพสะท้อนเจตจำนงของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้ทุกเครื่องมือเพื่อตั้งรัฐเอกราชใหม่ ยังคงแจ่มชัด และฝ่ายไทยยังทำให้พวกเขาเชื่อไม่ได้ว่า เป้าหมายนั้นไม่มีทางเป็นจริง
ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทบทวนไม่ใช่แค่ยุทธศาสตร์ แต่ยังรวมถึง “โต๊ะพูดคุย” ด้วยว่าควรออกแบบอย่างไรภายใต้เจตจำนงที่แรงกล้าเช่นนี้?