แปลกใจหรือไม่กับบริบทการเมือง 2 ความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งนายก อบจ.
หนึ่ง คือ พรรคการเมืองเลี่ยงเปิดตัวสนับสนุนผู้สมัคร หรือคนของตัวเองแบบตรงไปตรงมา โดยเฉพาะ “ค่ายสีน้ำเงิน” ภูมิใจไทย
สอง คือ ผู้สมัครหลายคนแสดงท่าทีปฏิเสธบ้านใหญ่ โดยเฉพาะแคนดิเดตคนดัง ซึ่งสังคมรู้ดีว่าได้รับการสนับสนุนจาก “บ้านใหญ่”
ที่เป็นข่าวชัดเจนที่สุดก็คือที่สงขลา นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ผู้สมัครนายก อบจ. ที่ถึงขั้นออกโรงให้ข่าวด้วยตนเอง ยืนยันความเป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ใต้ชายคาบ้านไหน หรือพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ที่สนามเลือกตั้ง “เมืองดอกบัว” อุบลราชธานี หนึ่งในตัวเต็ง คือ “มาดามกบ” จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล ก็ประกาศความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นสังกัดพรรคการเมือง หรือ บ้านใหญ่หลังใดเช่นกัน
แม้จะพ่ายแพ้แต่ก็กวาดคะแนนได้กว่า 3 แสนแต้ม!
มีการอ้างอิงโพลสำรวจที่ทำกันภายในว่า ประชาชนต้องการให้การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นปลอดจากอิทธิพลการเมืองระดับชาติ
นั่นคือเหตุผลที่ปรากฏเป็นข่าวไปบ้างแล้ว แต่อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงนัก ก็คือเหตุผลของ “ปราจีนบุรีโมเดล”
เพราะต้องยอมรับว่า คดีสังหาร “สจ.โต้ง” คาบ้าน “โกทร” ไม่ได้สะเทือนแค่การเมืองท้องถิ่นจังหวัดปราจีนบุรี แต่สะเทือนถึง “วงการบ้านใหญ่” หรือนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลระดับอำเภอ จังหวัด ทั่วประเทศ ไม่น้อยทีเดียว
โดยเฉพาะคลิปเสียงที่ “สจ.โต้ง” ทะเลาะมีปากเสียงขั้นรุนแรงกับ “โกทร” สะท้อนสภาพการณ์ของการเมืองบ้านใหญ่ในจังหวัดอย่างชัดแจ้ง
- มีกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต กระทำผิดกฎหมาย หาผลประโยชน์จากการบริหารงานท้องถิ่นอย่างมากมาย
- มีกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าฮั้วประมูลกันอย่างโจ๋งครึ่ม
- มีการกระทำผิดกฎหมายอื่นๆ ในพื้นที่ แต่เคลียร์กันได้ สะท้อนระบบอุปถัมภ์
- บางคดีที่เคลียร์ไม่ลงตัว เพราะเป็นเรื่องใหญ่ หรือถูกเจ้าหน้าที่จากนอกพื้นที่เข้าไปจัดการ ก็มีการ “รับผิดแทนกัน”
- มีการสร้างเครือข่ายที่ส่อไปในทางซื้อเสียงเลือกตั้ง หรือเป็น “หัวจ่าย” ทั้งการเมืองระดับชาติ และท้องถิ่น
สุดท้ายเมื่อความขัดแย้งจบลงที่ความรุนแรง ยิ่งทำให้ภาพชัดเจนว่า การเมืองแบบบ้านใหญ่ เต็มไปด้วยมาเฟีย ผู้มีอิทธิพล และการกระทำที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย
สอดรับกับผลสำรวจความคิดเห็น หรือ โพล ที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น หรือ ACT ก่อนหน้านี้ ซึ่งพบว่าคนไทยเกือบ 100% ทราบดีว่าการเลือกตั้งท้องถิ่น และการบริหารงานท้องถิ่น มีซื้อเสียงและทุจริต มีการคาดการณ์เงินสะพัดมากถึง 11,000 - 18,000 ล้าน เฉพาะการเลือกตั้ง อบจ. 1 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้
งานนี้ “วงการบ้านใหญ่” สะเทือน และเสียภาพลักษณ์อย่างหนัก ถึงขั้นอาจส่งผลต่อการเลือกตั้งในอนาคต ทั้งเลือกตั้งท้องถิ่นและระดับชาติกันเลยทีเดียว
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ชี้ว่า ลักษณะที่เกิดขึ้นนี้ จะยิ่งทำให้กระแส “ล้มล้างอิทธิพลบ้านใหญ่” เป็นกระแสหลักในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป ซึ่งจะว่าไปแล้ว ในการเลือกตั้ง สส.ปี 66 ก็เกิดขึ้นระดับหนึ่ง
อาจารย์สติธร ขยายความว่า บ้านใหญ่ที่สะเทือนก่อน และได้รับผลกระทบไปแล้ว คือ บ้านใหญ่ภาคกลาง-ตะวันตก และตะวันออก ซึ่งคนในจังหวัดรับรู้ปัญหามายาวนาน แต่เหมือนจะหมดหวัง เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
แต่เมื่อมีพรรคการเมืองแบบอนาคตใหม่ กับก้าวไกลขึ้นมา ประชาชนในจังหวัดนั้นๆ จึงพากันเลือกผู้สมัครของพรรคเหล่านี้แบบไม่สนว่าส่งใครมาลงสมัคร เหมือนเป็นความหวังในการล้มล้างอิทธิพลบ้านใหญ่กลายๆ ทำให้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง สส.แบบยกจังหวัด หรือเกือบๆ ยกจังหวัด ในหลายจังหวัดภาคกลาง และตะวันออก เช่น สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี
ส่วนปราจีนบุรี ก็เจาะได้ 1 เขตจาก 3 เขตอย่างพลิกความคาดหมาย
ยกเว้นจังหวัดที่ “บ้านใหญ่” ปรับตัวได้ และใจถึงพึ่งได้จริงๆ จึงรอดจากกระแสล้างบางบ้านใหญ่รอบที่ผ่านมา
กระแสที่ว่านี้ เดิมยังไม่แรงพอที่จะเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งท้องถิ่น เพราะประชาชนออกไปใช้สิทธิ์น้อย แต่เมื่อเกิดกรณี “ปราจีนบุรีโมเดล” ต้องรอดูว่าจะทำให้กระแส “ล้างบางบ้านใหญ่” รุนแรงขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่
แต่ก็ต้องยอมรับว่า บางจังหวัดไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า อยากล้างบ้านใหญ่บ้านเดิม อาจต้องไปเลือกบ้านใหญ่อีกบ้านแทน ซึ่งก็เป็นปัญหาอีกแบบหนึ่ง
จังหวะก้าวทางการเมืองที่ต้องจับตา คือ รัฐบาลพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ไวต่อกระแส “ล้างบางบ้านใหญ่” จึงฉวยโอกาสประกาศนโยบายลุยปราบผู้มีอิทธิพลอีกรอบ โดยพุ่งเป้า “บ้านใหญ่”
- ตั้งเป้า 34 จังหวัด
- ตำรวจรับลูกคึกคัก ขู่เยี่ยมบ้านเล็ก บ้านใหญ่ หากมีพฤติกรรมนอกแถว
ความเก๋าของอดีตนายกฯทักษิณ คือ ไม่ใช่แค่ชิงประกาศปราบผู้มีอิทธิพล โดยส่งนัยถึง “บ้านใหญ่การเมือง” ระดับจังหวัดเท่านั้น แต่ยังริบอำนาจภารกิจ “ปราบมาเฟีย” จาก รมว.มหาดไทย “ค่ายสีน้ำเงิน” มาให้นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจระดับชาติเองด้วย
งานนี้จึงไม่แปลกที่ผู้สมัครนายก อบจ.หลายคนต้องฉีกหนีบ้านใหญ่ เพราะถ้าไม่รีบออกตัวแรง อาจโดนค้น โดนเชื่อมโยง เจอขยายผลทางการเมืองได้ทุกเวลา
เหลืออีก 30 กว่าวันอันน่าระทึก โดยเฉพาะ “บ้านใหญ่ค่ายน้ำเงิน” ซึ่งในรอบเลือกตั้งของกลุ่มนายก อบจ.ลาออกก่อนครบวาระ ค่ายนี้ครองแชมป์ไปก่อนแล้ว โดยกวาดชัยชนะไปได้จำนวนมาก
ฉะนั้น 47 จังหวัดที่เหลือจะไม่ง่ายแบบเดิมอีก!