ในกระแสทั้งหนุนทั้งค้าน การเสนอร่างกฎหมายแก้ไข พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ของพรรคก้าวไกล เพื่อยุบเลิก กอ.รมน.
“ทีมข่าวอิศรา” พาย้อนไปทำความรู้จักองค์กรที่ได้ชื่อว่า “แมวเก้าชีวิต” มีอายุยืนยาวถึง 71 ปีแห่งนี้…
@@ ยุคปราบคอมมิวนิสต์
เดิมที กอ.รมน. มีชื่อเต็มว่า "กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน" มีภารกิจปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
กฎหมายฉบับนี้มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2495 ให้อำนาจฝ่ายบริหารจัดตั้งองค์กรหรือหน่วยงานเพื่อเป็นกลไกในการจัดการปัญหาผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ นอกเหนือจาก "ผู้อำนวยการป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์" ที่ใช้โครงสร้างของฝ่ายปกครองเป็นหลัก
โดยในบริบทงานความมั่นคง มีการจัดตั้ง กองอำนวยการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ หรือ กอ.ปค. ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น กอ.รมน.
ในบริบทงานพัฒนา มีการจัดตั้ง กรป.กลาง หรือ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ
โดยทั้ง 2 กองอำนวยการนี้ มีกองทัพบกเป็นแกนหลัก และสานภารกิจต่อมาจนถึงปัจจุบัน
กรป.กลาง เปลี่ยนชื่อเป็น หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา หรือ นทพ. อยู่ในสังกัดกองทัพไทย
กอ.รมน. เมื่อแก้ไขปัญหาคอมมิวนิตส์จบ หลังมีคำสั่ง 66/23 (ราวๆ ปี 2523) และยุติปัญหาได้อย่างเด็ดขาด หน่วยงานนี้ก็ยังคงอยู่เรื่อยมา แต่ไม่มีภารกิจหลักให้รับผิดชอบ ยกเว้นภารกิจกว้างๆ ด้านความมั่นคง
กระทั่งถูกเสนอกฎหมายยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย สมัยที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2543 ทำให้ กอ.รมน.เป็นดั่ง "สุสาน" โดยสมบูรณ์ แม้จะไม่ถูกยุบก็ตาม (แม้จะมีกระแสเรียกร้องให้ยุบทิ้งไปเสีย) โดยฐานบัญชาการอยู่ที่สวนรื่นฤดีจนถึงปัจจุบัน
@@ ยุคฐานการเมือง-กลไกกองทัพ
ยุคต่อมา กอ.รมน.ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ภายใต้ภารกิจงานความมั่นคง
อย่างในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็เคยดึง กอ.รมน.ไปใช้งาน โดยมี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำ จปร.7 ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมืองมาหลายยุคหลายสมัยทำหน้าที่เป็น รอง ผอ.รมน.
ในปี พ.ศ.2547 ไฟใต้ปะทุขึ้นมาอีกระลอก กองทัพบกมีบทบาทเข้าไปแก้ไขปัญหา จึงหันมาใช้โครงสร้าง กอ.รมน.ในการบูรณาการทุกหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดทางกฎหมายและกรอบอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
มีการตั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ขึ้นที่ค่ายสิรินธร จังหวัดปัตตานี รับผิดชอบทั้งงานความมั่นคงและงานพัฒนา (ช่วงนั้นมีการยุบ ศอ.บต. หรือศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้)
กระทั่งปี พ.ศ.2551 รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ตราพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ขึ้นมา เพื่อรองรับหน่วยงาน กอ.รมน. (มีกฎหมายรองรับโดยตรงเป็นครั้งแรก)
และมอบหมายภารกิจให้แก้ไขปัญหาภาคใต้ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว และปัญหาอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ผ่านโครงสร้าง "ศูนย์ประสานการปฏิบัติ" หรือ ศปป. ซึ่งมี 6 ศูนย์ด้วยกัน เช่น ปัญหาภาคใต้ รับผิดชอบโดย ศปป.5
จะเห็นได้ว่า ชื่อ "ศูนย์ประสานการปฏิบัติ" สะท้อนว่าการทำงานของ กอ.รมน.เน้นการประสานงานและบูรณาการ แต่ก็เน้นงานความมั่นคงเป็นหลักอยู่ดี
ที่ผ่านมากฎหมายฉบับนี้ถูกใช้ในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัจจุบันบังคับใช้อยู่ใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา และราวๆ 10-11 อำเภอในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปแล้ว)
นอกจากนั้นยังมีปัญหาแรงงานต่างด้าวที่ จ.สมุทรสาคร จ.ระนอง และเคยใช้ควบคุมการชุมนุมในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยถือเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจพิเศษ แต่เป็น "ยาแรง" ในระดับต่ำกว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548)
@@ ยุคติดดาบ-อำนาจล้น
พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ประกาศใช้เมื่อปี 2551 และไม่เคยถูกแก้ไขในสาระสำคัญมาก่อนเลย
กระทั่งปี พ.ศ.2560 มีการปรับแก้ที่เรียกได้ว่า "รื้อใหญ่" พอสมควร โดยการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 51/2560 เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
แต่สาระสำคัญที่มีการแก้ไขไม่ใช่การ "รื้อโครงสร้าง กอ.รมน." ทว่าเป็นการขยายฐานอำนาจของ กอ.รมน. ซึ่งโดยนัยก็คือกองทัพบก ให้แผ่ลงไปถึงระดับจังหวัดทั่วประเทศมากกว่า
เหตุผลในการแก้ไขกฎหมายมี 3 ข้อใหญ่ๆ คือ
-ปัจจุบันภัยคุกคามเปลี่ยนรูปแบบอย่างรวดเร็ว ทั้งภายในและภายนอก
-ภัยคุกคามเกิดได้จากทั้งบุคคลและภัยธรรมชาติที่เป็นสาธารณภัย
-การติดตามตรวจสอบและประเมินสถานการณ์จึงต้องมีประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ฉะนั้นจึงให้อำนาจ กอ.รมน.เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับต่อสถานการณ์และบูรณาการหน่วยงานรัฐทุกระดับ
ประเด็นหลักๆ ที่ถูกแก้ไขใหม่ คือการเพิ่มนิยามของคำว่า "การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร" จากเดิมที่หมายถึงภัยคุกคามทั่วๆ ไป แต่ของใหม่ให้หมายรวมถึง "สาธารณภัย" ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและคาดว่าจะเกิดด้วย
เมื่อตามไปดูกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะพบว่า ความหมายของคำว่า "สาธารณภัย" นอกจากพวกอัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาด ภัยธรรมชาติ และอุบัติเหตุแล้ว ยังหมายความรวมถึงภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรมด้วย
โดยกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้อำนาจกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพ แต่กฎหมาย กอ.รมน.ที่แก้ไขใหม่โดย คสช. ได้โอนอำนาจส่วนนี้มาให้ กอ.รมน.เป็นเจ้าภาพแทน ขยายขอบเขตความรับผิดชอบไปถึงภัยทางอากาศและวินาศกรรม นอกจากนั้นยังให้อำนาจ กอ.รมน.ทำแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคาม โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบให้ตามแผนด้วย ซึ่งประเด็นนี้ในกฎหมายเก่าไม่ได้ระบุเอาไว้
ในส่วนของคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ คณะกรรมการระดับชาติ ได้เพิ่มรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ กระทรวง DE เข้าไปอยู่ในโครงสร้างด้วย
ขณะเดียวกัน ตามกฎหมายเดิม แม้จะกำหนดให้มี "กอ.รมน.ภาค" แต่ก็ใช้ทรัพยากรบุคคลและงบประมาณจากกองทัพภาค ซึ่งก็คือทหารเป็นหลัก แต่ในกฎหมายใหม่ที่แก้ไขโดยคำสั่งหัวหน้า คสช. ได้ดึงเอาฝ่ายอัยการ คือ อธิบดีอัยการภาค และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระในกระบวนการยุติธรรม มาอยู่ในโครงสร้าง กอ.รมน.ภาค ที่มี "แม่ทัพ" เป็นหัวหน้าในฐานะ "ผอ.รมน.ภาค" ด้วย
เช่นเดียวกับ กอ.รมน.จังหวัด แม้ "ผอ.รมน.จังหวัด" ยังคงเป็น "ผู้ว่าราชการจังหวัด" เหมือนเดิม แต่กฎหมายเก่าใช้โครงสร้างของฝ่ายปกครองสนับสนุนงาน กอ.รมน. ส่วนกฎหมายที่แก้ไขใหม่ ได้ดึงเอาผู้แทนทุกส่วนราชการจากทุกกระทรวงในจังหวัดมาร่วมอยู่ในโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นอัยการ เกษตรฯ พาณิชย์ ศึกษาธิการ พลังงาน แรงงาน และสาธารณสุข โดยมีผู้แทนมณฑลทหารบกที่ดูแลพื้นที่จังหวัดนั้นร่วมอยู่ในโครงสร้างด้วย
ทั้ง กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด มีอำนาจจัดทำแผนป้องกันแก้ไขปัญหาภัยคุกคามทุกรูปแบบ รวมถึงงานด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้านเศรษฐกิจและสังคมของทุกส่วนราชการในจังหวัดที่เชื่อมโยงกับความมั่นคงภายในจังหวัดทั้งหมด
ภาพรวมของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งเป็นโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ในยุคปัจจุบันนี้ อาจสรุปได้อย่างไม่เกินเลยว่า มีการขยายขอบเขตอำนาจของ กอ.รมน.ซึ่งมี "กองทัพบก" เป็นหน่วยนำ ลงไปกำกับแผนงานทุกด้านในการบริหารจัดการประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
การเสนอแก้ไขกฎหมายความมั่นคงฯ เพื่อยุบเลิก กอ.รมน. จึงเป็นเสมือน "ทางสองแพร่ง" อีกครั้งหนึ่งของหน่วยงาน "แมวเก้าชีวิต" หน่วยนี้ ว่าจะยังสามารถฝ่าคลื่นลมทางการเมืองต่อไปได้อีกหรือไม่!