
อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง ซึ่งเกาะติดสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งสารถึงรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกฯป้ายแดง ว่าบ้านเมืองมี “ไฟกองใหญ่” รอลุกลามอยู่ 5 กองด้วยกัน
หนึ่ง คือ ไฟเขมร
สอง คือ ไฟใต้
สาม คือ ไฟการเมือง
สี่ คือ ไฟเศรษฐกิจ
ห้า คือ ไฟศรัทธา
จะเห็นได้ว่า “ไฟใต้” ยังคงเป็นปัญหายืดเยื้อที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ และทุกรัฐบาลต้องรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนระยะหลังๆ จะหลงลืมไป

นายอนุทิน เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อไม่นานมานี้ และจัดเป็นรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่ชายแดนใต้บ่อยครั้ง เนื่องจากปี 2570 กองกำลัง อส. หรือ อาสารักษาดินแดน ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทย ต้องรับหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในพื้นที่ที่มีปัญหาความมั่นคงนี้แทนทหาร
จึงน่าเชื่อว่า นายอนุทิน มีข้อมูลและความเข้าใจปัญหาไฟใต้ในระดับหนึ่ง
แต่สถานการณ์ ณ เวลานี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมมาก อาจารย์สุรชาติ จึงมาฉายภาพให้เห็น เพื่อรอความหวังจากรัฐบาลใหม่เข้าไปแก้ไข เปลี่ยนแปลง
@@ อาจารย์นิยามและมีความกังวลต่อสถานการณ์ความไม่สงบภาคใต้ปัจจุบันอย่างไรบ้าง?
ประเด็นที่เราลืมไปตอนที่มีปัญหากัมพูชาก็คือ “ไฟใต้” ต้องไม่ลืมว่าไฟใต้ยังไม่จบนะ ในหมู่คนทำงานความมั่นคงก็นั่งดูอยู่ว่าในขณะที่ทุกอย่างของประเทศไทย ทั้งความสนใจทั้งอะไรทั้งหมด โดยเฉพาะพวกที่มีบทบาทในฝ่ายการเมืองหันไปด้านเดียวคือการแก้ปัญหากัมพูชา จนเราลืมว่าไฟใต้ยังมีปัญหาอยู่ แล้วในที่สุดเราก็เริ่มเห็นเรื่องการวางระเบิด กรณีของคาร์บอมบ์ ซึ่งเราไม่เห็นมานานแล้ว
ที่น่าจับตาคือ การเผารถของบริษัทที่เป็นบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการก่อเหตุแบบในยุคเก่า หรือที่ยุคก่อนๆ ที่เราเรียกว่ากันคือ ‘โจรเรียกค่าไถ่’ ก็กลับมาเกิดขึ้นอีก
ผมคิดว่าสถานการณ์วันนี้ต้องคิดว่า เราไม่ได้มีปัญหาชายแดนฝั่งตะวันออกคือกัมพูชาด้านเดียว ผมว่าเราลืมว่าชายแดนด้านเมียนมาก็มีปัญหา ผมเข้าใจว่ารถขนสินค้าไทยวันนี้จอดเป็นคิวยาว สินค้าเข้าเมียนมาไม่ได้ ได้ยินเสียงผู้ประกอบการบางส่วนบ่นแต่ไม่เป็นข่าว เพราะว่าน้ำหนักข่าวไปอยู่กับกัมพูชาทั้งหมด
แต่ในขณะเดียวกัน สมมุติเราเปิดประเด็นภาคใต้ ผมว่าโจทย์มันหวนกลับมา ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลเศรษฐา (รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน พ.ศ.2566-2567) ผมว่าโจทย์ภาคใต้เริ่มชัด อาจจะเป็นช่วงหลังรัฐประหารปี 2557 ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โจทย์ภาคใต้เป็นอะไรที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชัก เราสังเกตช่วง คสช. จนมาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ปัญหาใต้ไม่ค่อยถูกนำมาถกเท่าไหร่ แล้วก็เป็นเรื่องที่อาจจะมีการพูดกันในหมู่คนทำงานความมั่นคง แต่ในเวทีเสวนาต่างๆ ข้อสังเกตผมคือไม่เคยเห็นสื่อทำข่าวจริงๆ ไม่เคยเห็นบทสัมภาษณ์เรื่องใต้จริงๆ เลย

แต่พอเมื่อนายกฯเศรษฐาขึ้นมา ประเด็นภาคใต้มันเริ่มมา แต่มันมาบนเงื่อนไข...
หนึ่ง จากคำถามใหญ่คือ ตกลงรัฐบาลไทยในยุคนั้นจะเปิดรับเงื่อนไขการเจรจาหรือไม่ เพราะว่าเปลี่ยนรัฐบาลพอดี
สอง ในช่วงของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ มีการทำเอกสารที่เป็นกรอบของการเจรจา หรือการทำความตกลงระหว่างรัฐไทยกับฝั่งบีอาร์เอ็น ที่เราเรียกกันตัวย่อว่า “JCPP” (แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม)
เพราะฉะนั้นในช่วงรัฐบาลเศรษฐา มันมีคำถามคือ ตกลงรัฐบาลจะเจรจาไหม ถ้าเจรจาจะตั้งใคร และในการเจรจาจะยอมรับ “แผนสันติสุขแบบองค์รวม” หรือ “JCPP” ไหม
ในขณะเดียวกัน ผมคิดว่าคำถามที่มันไม่ถูกตอบคือ เอกสาร JCPP ในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หน่วยงานความมั่นคงไทย ต้องขออนุญาตใช้คำว่า ‘แอบไปทำกัน’ ที่เยอรมันและที่สวิตเซอร์แลนด์ ตกลงจะรับต่อไหม
หากย้อนดูข่าวเก่าก็จะเห็นเสียงความเห็นแย้ง ความเห็นต่าง เพราะเข้าใจว่าในยุครัฐบาลเศรษฐา ปัญหา JCPP เหมือนกับถูกหยุด ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลเศรษฐาไม่ผลักดันต่อ แต่พอเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเป็น คุณแพทองธาร (รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร พ.ศ.2567-2568) ก็เกิดปัญหาเดิม ตกลงจะเจรจาไหม แล้วใครจะเป็นผู้เจรจา เพราะ คุณฉัตรชัย บางชวด ขยับจากรองฯ ขึ้นมาเป็น เลขาธิการ สมช. จะเอาเลขาธิการ สมช. ไปเจรจาโดยตรง เป็นอะไรที่ไม่เหมาะ
แต่คำถามก็เหมือนเดิม ตกลงรัฐบาลแพทองธารจะรับ JCPP ไหม ก็ไม่มีคำตอบอีก แต่ในเมื่อไม่มีคำตอบ มันเจอปัญหาที่ใหญ่ที่สุด แล้วตกลงการเจรจาล่ะ เราก็จะเห็นตั้งแต่นายกฯแพทองธารมา ก็จะมีเสียงเรียกร้องทั้งจากบีอาร์เอ็นเอง จากแนวร่วมบีอาร์เอ็น ทั้งที่อยู่ในพื้นที่และที่อยู่ในกรุงเทพฯ รวมถึงบรรดาเอ็นจีโอ เรียกร้องให้ฝ่ายรัฐเปิดโต๊ะเจรจากับบีอาร์เอ็น

ความน่าสนใจก็คือว่าฝั่งรัฐเอง อาจจะยังไม่มีท่าทีจริงๆ ผมเข้าใจว่ากระบวนการคิดการเตรียม มันยังไม่จบ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีความชัดเจน ตกลงว่าถ้าจะเจรจา จะเอาใครขึ้น (เป็นหัวหน้าคณะพูดคุย หรือ เจรจา) ใครจะเป็นทีม แต่ในขณะเดียวกันก็น่าสังเกตว่าทำไมฝั่งบีอาร์เอ็นและแนวร่วมเรียกร้องมาก จนทุกคนรู้สึกว่าในการเรียกร้องมันตามมาด้วยกันก่อเหตุรุนแรง มันทำให้เกิดการตีความว่า การก่อเหตุร้ายไม่ว่าจะเป็นการวางระเบิด การเผา การฆ่า มันคือการกดดันเพื่อให้รัฐยอมรับที่จะต้องเปิดโต๊ะเจรจาใช่ไหม
สมมุติถ้าเราตอบอย่างนี้ เนื่องจากเราดูจากคำอธิบายของกลุ่มแนวร่วมบางคน ผมย้ำนะครับ ‘แนวร่วมบางคน’ ก็จะบอกว่าความรุนแรงเกิดเพราะรัฐไม่เจรจา ก็แสดงว่าการเจรจาถ้าเกิดจากนี้ จะเป็นการเจรจาที่เป็นผลจากการที่รัฐไทยถูกบังคับบนเงื่อนไขการก่อเหตุร้ายของบีอาร์เอ็น คิดว่าเรื่องนี้แนวร่วมบีอาร์เอ็นน่าจะอธิบายคำตอบให้เราได้ชัด
หากเป็นแบบนี้ ปัญหาก็เหมือนกับยังคาราคาซัง แต่ในความคาราคาซังก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่า รัฐไทยไม่ได้มีโจทย์แค่ไฟใต้ ผมคิดว่าวันนี้ของจริง รัฐไทยมีไฟใหญ่อีกกองหนึ่ง คือ ‘ไฟกัมพูชา’ ไม่นับไฟพม่า หรืออีกกองหนึ่ง เป็นกองใหญ่ คือ ‘ไฟภาษีทรัมป์’ นั่นก็เป็นไฟกองใหญ่ที่เรายังไม่มีคำตอบชัดๆ 19% จะไปต่อกันอย่างไร
ในบริบทอย่างนี้ โจทย์ใต้มันหวนกลับ ทั้งการใช้คาร์บอมบ์ เราจะเห็นชัดว่าไฟใต้ส่งสัญญาณมาระยะหนึ่ง ตั้งแต่เรามีปัญหากัมพูชา ไม่ได้หายไปไหนเลย แต่ความสนใจของรัฐอาจจะน้อยลง
เพราะฉะนั้นผมคิดว่าวันนี้อาจจะต้องชวนรัฐไทยว่า มีภาระด้านกัมพูชาต้องไม่ลืมไฟใต้ แล้วต้องหันไปดูด้านตะวันตก (ชายแดนไทย-เมียนมา ฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก และ จ.กาญจนบุรี) เพราะสินค้าไทยเริ่มออกไม่ได้ เนื่องจากการปิดด่านของฝั่งรัฐบาลทหารเมียนมา
แปลว่าโจทย์ชุดนี้อาจจะต้องคิดภาพความมั่นคงเป็นเหมือนโจทย์องค์รวม จะคิดแบบแยกส่วนว่าวันนี้จะสู้กับปัญหาของกลุ่มฮุนเซน จะทำสื่อเพื่อเพียงโต้กลับ ‘พลโทมาลี’ เท่านั้น ผมคิดว่าไม่พอแล้วนะ
@@ ความต้องการของกลุ่มบีอาร์เอ็น แท้จริงคืออะไร?

โจทย์ไฟใต้ อธิบายได้ง่ายๆ อย่างหนึ่งคือ เสียงสัญญาณจากแนวร่วมและเอ็นจีโอบางส่วนที่อาจจะมีความใกล้ชิดกับบีอาร์เอ็น ส่งสัญญาณค่อนข้างชัดว่า ถ้าไม่เจรจาก็จะก่อเหตุ หรืออธิบายในทางกลับกันว่า การก่อเหตุเป็นเพราะรัฐไม่เจรจา
ถ้าคิดอย่างนี้ มันอธิบายในมิติด้านความมั่นคงก็คือ การเจรจาเป็นความได้เปรียบของบีอาร์เอ็น ความได้เปรียบตรงนี้เกิดจากอะไร เกิดจากเงื่อนไขของ JCPP ที่มีลักษณะของการบังคับให้ฝั่งรัฐไทยลดมาตรการด้านความมั่นคง และเปิดช่อง เพิ่มการอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มบีอาร์เอ็น ขอใช้คำว่า ‘เป็นการดำเนินความสะดวกให้กลุ่มบีอาร์เอ็น’ เปิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้มากขึ้น
แน่นอนผมคิดว่าเมื่อบีอาร์เอ็นเองอยากเจรจา และดูจะอยากเจรจามาก มันอธิบายได้อย่างเดียวว่า บีอาร์เอ็นเชื่อว่าการเจรจาคือความเหนือกว่า หรือพูดง่ายๆ บีอาร์เอ็นมองว่าการเจรจาคือการทำสงครามการเมืองเพื่อสู้กับรัฐไทย และในสงครามการเมืองอย่างนี้ บีอาร์เอ็นเป็นฝ่ายที่มีแต้มเหนือกว่า
@@ การเมืองของบีอาร์เอ็นในความหมายของเขามันคืออะไร?
ปัญหาภาคใต้จะเห็นสนามรบหลายแบบ ผมคิดว่าสนามรบในกัมพูชามีหลายโดเมน ปัญหาสงครามในภาคใต้ก็หลายโดเมน
- โดเมนการทหาร ผมว่าชัด เพราะว่าเราเห็นมิติทางทหาร ตำรวจ ในปี 2570 จะมีเรื่องใหญ่ที่สุดที่เราต้องเตรียมรับ คือการผลัดเปลี่ยนกำลังที่ทหารจะลดกำลังลง และจะเปลี่ยนบทบาทงานด้านความมั่นคงไปไว้ในส่วนของ อส. (อาสารักษาดินแดน) ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย
- อีกโดเมน คือการต่อสู้ในมิติทางการเมือง ผมคิดว่าโดเมนในมิติทางการเมือง บีอาร์เอ็นพยายามสู้ผ่านเงื่อนไขการเจรจา ผ่านเงื่อนไขของการสร้างแนวร่วม ผ่านของการสร้างเวทีทางการเมือง หวังทำสงครามการเมืองในมิติอีกรูปแบบนึง โดยหวังว่าสงครามการเมืองที่ทำกับรัฐไทยจะสร้างความชอบธรรมให้กับการเคลื่อนไหวของบีอาร์เอ็น
- โดเมนโลกโซเชียล เป็นโดเมนของสงครามการเมืองที่มีความเชื่อมโยงกับโดเมนที่สำคัญไม่ต่างกับปัญหากัมพูชา ถ้าปัญหากัมพูชาเราเห็น Social Media Warfare หรือสงครามในโลกโซเชียล ในภาคใต้ก็ไม่ต่างกัน สงครามในโลกโซเซียลของปัญหาภาคใต้มีความรุนแรงมากนะ แรงมาตลอด เพียงแต่เราเห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง

ผมคิดว่า Social Media Warfare มันเห็นการต่อสู้ในเวทีสื่อ แล้วสื่อก็มีทั้ง 2 ส่วน คือสื่อในเวทีระหว่างประเทศ กับสื่อในเวทีภายใน เพราะฉะนั้นเราเผชิญ 3 โดเมน การทหาร การเมือง และสื่อโซเซียลมีเดีย แล้วถ้าเปิดโดเมนที่ 4 คือโดเมนที่เป็นเวทีต่างประเทศ อันนี้ก็ไม่ต่างจากกัมพูชาอีก เราจะเห็นการเคลื่อนไหวของบีอาร์เอ็นในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าเคลื่อนไหวมานาน กลุ่มบีอาร์เอ็น หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เคลื่อนไหวในเวทีสากลมานาน
เพราะฉะนั้นใน 4 โดเมนเฉพาะหน้า เราเห็นชัดว่าฝ่ายบีอาร์เอ็นพยายามสร้างความเหนือกว่าผ่าน 3 โดเมนใหญ่ คือ สงครามการเมือง สงครามสื่อ และสงครามเวทีต่างประเทศ พอเป็นเช่นนี้ รัฐไทยอาจจะคิดว่าเหนือกว่าเพราะมีกำลังอยู่ในพื้นที่ แต่มันไม่สามารถเปรียบกำลังได้เหมือนกับไทยกับกัมพูชา เพราะอันนั้นรบด้วยเงื่อนไขกำลังรบตามแบบ เราสามารถวัดได้ว่ากองทัพไทยมีกำลัง มีอาวุธยุทโธปกรณ์เท่าไหร่ และกัมพูชามีอะไร
แต่พอสนามรบทางทหารในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มันไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะวัดกำลังแบบนั้น หรือพูดง่าย ๆ สนามรบใน 3 จังหวัด กำลังทหารรัฐไทยเป็นฝ่ายเหนือกว่าทั้งหมดก็พูดไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ในบริบทของสามจังหวัดภาคใต้ของไทย เราเห็นชัดว่าการเปรียบกำลังไม่ใช่คำตอบ หากจะคิดว่าโดเมนนี้รัฐไทยชนะทั้งหมด ก็อาจจะคิดต่อได้ว่า ‘จริงหรือไม่’ เพราะผมพยายามอธิบายว่า รัฐไทยต้องคิดเรื่องนี้มากขึ้น ต้องฝากไว้ที่องค์กรสำคัญในบริบทตรงนี้ คือ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) และกองทัพบก ซึ่งมีส่วนที่รับผิดชอบโดยตรงคือ กอ.รมน. (กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร)
ทำอย่างไรเราจะผลักดันให้สองส่วนหลักนอกจากฝ่ายการเมืองคิดมากขึ้น วันนี้โจทย์สงครามไฟกองใหญ่ที่เป็นปัญหาความมั่นคงในไทย มองไฟกัมพูชากองเดียวไม่ได้แล้ว มันเกิดไฟหลายกอง ทำอย่างไรจะแบ่งสายตา แบ่งสมอง ไปคิดโจทย์ใหญ่ที่กำลังสุมไฟอยู่ในบ้านเรา
@@ ตอนนี้บีอาร์เอ็นกำลังเดินตามแนวสงครามไฮบริดเหมือนกับกัมพูชาไหม?

เรื่องสงครามไฮบริดในสามจังหวัดมันอาจจะตีความได้ต่างนิดหนึ่ง ปกติในทางทฤษฎีแล้ว เวลาเราพุดถึงสงครามไฮบริด หรือ ‘สงครามพันทาง’ มันมีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือการใช้กำลังรบตามแบบ, การใช้กำลังรบนอกแบบ และการทำสงครามข่าวสาร
ในบริบทของภาคใต้ กลุ่มที่รัฐไทยเผชิญในภาษารัฐศาสตร์ เรียกว่า ‘ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ’ หรือ Non-state actors ฉะนั้นสิ่งที่เราเห็นในภาคใต้ ถ้าพูดในภาษาทางทฤษฎีสมัยใหม่ เราเรียก Non-state Warfare คือ สงครามที่ไม่ได้ทำโดยรัฐ
ฉะนั้นเมื่อเป็นแบบนี้เราอาจะต้องคิดว่าถ้ารักษานิยามในภาษาทางทหารแบบเดิม ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงไม่ใช่สงครามไฮบริด เพราะกลุ่มบีอาร์เอ็นไม่มีกำลังรบตามแบบ องค์กรที่เป็นองค์กรก่อการร้าย หรือองค์กรที่ไม่ใช่รัฐ แล้วสามารถทำสงครามไฮบริดได้หรือสงครามพันทางได้ มีแค่ 2 องค์กรในเวทีโลก คือ “ฮามาส” กับ “ฮิซบอลเลาะห์” ในส่วนอื่นเราจะเรียกแค่ว่า ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐที่มีขีดความสามารถในการก่อเหตุร้าย มีขีดความสามารถในการทำการรบ
แต่แปลว่าภาคใต้มองผ่านทฤษฎีสงคราม ผมเชื่อว่ามันมีลักษณะที่เราอาจจะเรียกด้วยภาษาทฤษฎีนิดหนึ่งคือ “สงครามอสมมาตร” ก็คือเป็นสงครามที่คู่ต่อสู้ไม่มีความเท่าเทียมกัน พูดง่ายๆ คือฝั่งหนึ่งเป็นรัฐ อีกฝั่งหนึ่งเป็นตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ และมีระดับของกำลังหรือขีดความสามารถทางทหารที่ต่ำกว่า
แต่อย่างที่ผมเปิดประเด็นว่า ต่ำกว่านี้ต้องตระหนักว่าการต่อสู้ในเวทีภาคใต้ ปัญหาทั้งหมดไม่ได้เกิดในโดเมนทหารอย่างเดียว แต่เกิดทั้งในโดเมนการเมือง โดเมนสื่อ หรือโดเมนสงครามข้อมูลข่าวสาร และโดเมนในเวทีระหว่างประเทศ ฉะนั้นเราคิดมิติเดียวไม่ได้ หรือพูดง่ายๆ สงครามที่มีลักษณะเป็นอสมมาตร เตือนใจเราอย่างหนึ่งก็คือ ฝ่ายตรงข้ามที่รบกับรัฐ รบในทุกมิติ เป็นแต่เพียงอาจจะไม่อยู่ในรูปแบบที่เป็นไฮบริดอย่างที่เราเห็นตัวแบบในกัมพูชา
@@ ที่ผ่านมา 20 กว่าปี มันมีกระบวนการส่งต่อขยายแนวความคิดเรื่องความรุนแรง และการต่อสู้ วันนี้ก็ยังไม่หยุด?

ผมคิดว่าอันนี้เป็นโจทย์อีกชุดหนึ่ง หรืออีกโดเมนหนึ่ง คือ ‘โดเมนทางสังคม’ ผมคิดว่าเราเห็นชัดว่า สงครามจากปี 47 จนถึงปัจจุบัน ถ้าคนที่ก่อเหตุยุคนั้นในปี 47 อายุประมาณ 30 ปี วันนี้ก็ประมาณ 50+ หรือใกล้ 60 ถ้าคิดอายุอย่างนี้ มันตอบได้อย่างเดียวว่า ขบวนการก่อการร้ายทั่วโลกอยู่ได้อย่างเดียวคือการสร้าง หรือที่ผมเรียกว่าเป็น ‘โรงงานผลิตผู้ก่อการร้าย’ คือ การสร้างสายพานทางสังคม ที่ใช้วาทกรรมแล้วเอาคนหนุ่มสาวเป็นผู้รับสารหรือรับวาทกรรม ป้อนเข้าสู่โรงงานชุดนี้
ถ้าอธิบายในทางทฤษฎีเราเรียกว่า ‘สายพานลำเลียงการก่อการร้าย’ ซึ่งเกิดจากการสร้างวาทกรรม เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เพื่อปลุกระดม แต่ผมคิดว่า สิ่งที่เห็นชัดมากกว่าการปลุกระดม คือ การบ่มเพาะความรุนแรง อันนี้มันเป็นทฤษฎีที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมทั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ฉะนั้นโจทย์สำคัญวันนี้ ในช่วง 20 กว่าปี หลังปี 47 โรงงานยังเปิดตลอด สายพานยังลำเลียงคนตลอด ความน่ากลัวคือการลำเลียงคนในเจนเนอเรชั่นใหม่ คนหนุ่มสาวเข้ามาป้อนเรื่อยๆ ทั้งยังสร้างวาทกรรม สร้างข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์ทุกอย่าง แม้กระทั่งใช้คำว่า ‘ปาตานี’ โดยไม่ยอมรับคำว่า ‘ปัตตานี’
วันนี้บอกได้เลยว่า คำว่า ‘ปาตานี’ จะเป็นเส้นแบ่งของคนที่สนับสนุนการก่อการร้ายหรือสนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ ผมเรียกร้องให้หน่วยราชการไทย รัฐสภาไทย จะต้องไม่อนุญาตให้ใช้คำนี้ หรือถ้ามีการพูดถึงต้องไม่บันทึกคำนี้อยู่ในเอกสารของภาครัฐ เพราะคำนี้จะเป็นอีกหนึ่งโดเมนของการต่อสู้ หรือที่ผมเรียกว่า การต่อสู้ในโดเมนทางประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างวาทกรรม เพื่อใช้เป็นสายพานลำเลียงคนเข้าสู่โรงงานผลิตคนที่จะเป็นผู้ก่อการร้ายในอนาคต
แปลว่าในภาคใต้ไม่ได้ต่างจากสถานการณ์ที่เราเห็นในทั่วโลก ไม่ต่างจากในอิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรีย หรือในบริบทของการผลิตคนรุ่นใหม่ เพื่อเข้าสู่เวทีความรุนแรง
ปัญหาใหญ่ก็คือความหลากหลายของโดเมนเหล่านี้ ฝั่งรัฐซึ่งมีนัยทางฝ่ายการเมืองคือรัฐบาล สมช. ซึ่งวันนี้ต้องเป็นตัวหลัก แต่พอถามเรื่องภาคใต้ เราจะได้ยินคำตอบเดียวคือ รอยุทธศาสตร์ สมช. ซึ่งตั้งแต่เปลี่ยนนายกฯ จาก คุณเศรษฐา เป็นคุณแพทองธาร คำว่ารอยุทธศาสตร์ สมช.ถึงวันนี้ก็นานพอสมควร
กับอีกส่วนหนึ่งก็คือ กองทัพบก จะโดย กอ.รมน.หรือทางกองทัพภาคที่ 4 จะตั้งหลักกันอย่างไร พอเราตีออกมาอย่างนี้เราจะเห็น สงครามโดเมนทหาร สงครามโดเมนทางการเมือง สงครามโดเมนในสื่อหรือโซเชียลมีเดีย สงครามในโดเมนสากล สงครามในโดเมนที่เป็นมิติทางสังคม สงครามในโดเมนที่เป็นมิติทางประวัติศาสตร์ โดเมนนี้อย่าดูแคลนหรือคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์โดยมิติทางความคิดเป็นปัจจัยใหญ่ของการต่อสู้ทั่วโลก
วันนี้นั่งดูยูเครน รัสเซีย ก็สู้กันโดเมนหนึ่ง ที่เราอาจจะไม่คุ้นคือการต่อสู้ระหว่างประวัติศาสตร์ของยูเครนกับรัสเซีย ในบริบทอย่างนี้มันทำให้ชวนคิดว่า รัฐไทยที่เกิดปัญหาสามจังหวัด โดเมนประวัติศาสตร์เป็นโดเมนใหญ่ ที่วันนี้ฝั่งการเมืองและหน่วยงานความมั่นคงต้องทำความเข้าใจ เพราะโดเมนตรงนี้คือสายพานการผลิตคนเพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานในการสร้างบุคลากรแห่งความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้
(ยังมีต่อตอนที่ 2)
--------------------------
ขอบคุณ : โชฏิมา จันทร์คง รายการสืบสวนความจริง เนชั่นทีวี ผู้สัมภาษณ์
