โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แจงคลิปค้นบ้านที่ระแงะ นราธิวาส จนถูกหญิงมุสลิมโวยลั่น แชร์กันสนั่นโซเชียลฯ เป็นการบังคับใช้กฎหมายติดตามตรวจสอบผู้ต้องหาตามหมายจับคดียิง 2 สามีภรรยาชาวนราธิวาส ยืนยันไม่ได้คุกคามประชาชนหรือเล็งปืนใส่เด็กและคนชราตามที่มีความพยายามบิดเบือน
ความคืบหน้ากรณีมีคลิปวิดีโอเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เป็นภาพเจ้าหน้าที่ทหารพรานนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านของชาวบ้าน ในพื้นที่หมู่บ้านบ่อทอง ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทำให้ผู้หญิงเจ้าของบ้านแสดงความเครียดและความไม่พอใจที่ถูกค้นบ้านในระยะเวลาติดๆ กันหลายครั้ง จึงมีปากเสียงกับหัวหน้าชุดตรวจค้น ถึงขั้นกรีดร้อง
โดยสื่อกระแสรองและสื่อสังคมออนไลน์นำคลิปไปเผยแพร่ต่อในแง่มุมตำหนิฝ่ายทหารที่ละเมิดสิทธิ และใช้ถ้อยคำหยาบคายข่มขู่ประชาชน จนสุดท้ายมี ส.ส.นราธิวาส ของพรรคประชาชาติ รุดไปเยี่ยมให้กำลังใจ
แต่เมื่อมีการตรวจสอบคลิปอย่างละเอียด พบว่าฝ่ายทหารไปขอค้นบ้านจริง แต่ไม่ได้ใช้คำหยาบ มีการเอ่ยขอโทษ แต่ก็มีบางช่วงที่ขึ้นเสียงดัง และประกาศว่า จะมาค้นเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอตัวผู้ต้องสงสัยนั้น
ล่าสุด พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคลิปแล้ว เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ (ฉก.) เพื่อบังคับใช้กฎหมายและควบคุมพื้นที่ให้ปลอดเหตุ ประชาชนมีความปลอดภัย รวมทั้งเสริมสร้างความเข้าใจและช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบต่างๆ ด้วยการบูรณาการกำลังทุกภาคส่วนเข้าดำเนินการในทุกหมู่บ้านทุกหลังคาเรือน
สำหรับบ้านที่เกิดเหตุเป็นบ้านที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นบ้านของ นายมูฮัมหมัดฟิตรี เจะหะ ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ และเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ป.วิอาญาของศาลจังหวัดนราธิวาส จากคดียิง นายไพศาล และ นางสุมล จุ่งสกุล สองสามีภรรยา เสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.62 นอกจากนี้ นายมูฮัมหมัดฟิตรี ยังมีส่วนร่วมในการก่อเหตุสะเทือนขวัญในพื้นที่ จ.นราธิวาส อีกหลายคดี
โดยในห้วงที่ผ่านมาหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ได้จัดชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนเข้าไปพบปะพัฒนาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับครอบครัวและเครือญาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประสาน นายมูฮมหมัดฟิตริ ออกมามอบตัวหรือรายงานตัวเข้าร่วมโครงการพาคนกลับบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่มีความคุ้นเคยสนิทสนมและได้รับความร่วมมือจากครอบครัวและเครือญาติของ นายมูฮัมหมัดฟิตรี เป็นอย่างดี
ในวันเกิดเหตุ หน่วยได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวภาคประชาชนว่า นายมูฮัมหมัดฟิตรี เข้ามาเคลื่อนไหวเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ จึงได้จัดกำลังเข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัย รวมทั้งที่บ้านหลังที่ปรากฏตามคลิปด้วย และได้เชิญผู้ใหญ่บ้านมาร่วมเป็นสักขีพยาน แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือและปกปิดข้อมูลบุคคลที่อยู่ภายในบ้านจนเป็นที่น่าสงสัย อีกทั้ง น.ส.ซัลวานีย์ ยาแล ภรรยาของผู้ต้องหา ยังได้พยายามขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าตรวจสอบภายในบ้าน พร้อมกับส่งเสียงร้องโวยวายด่าทอเจ้าหน้าที่ดังที่ปรากฏในคลิป
“เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง ละมุนละม่อม ภายใต้การรับรู้ของผู้นำท้องที่ โดยภายหลังศาลจังหวัดนราธิวาส ได้ออกหมายจับนายมูฮัมหมัดฟิตรี เมื่อปี 62 หน่วยได้เข้าติดตามตรวจสอบความเคลื่อนไหวควบคู่ไปกับการเข้าพัฒนาสัมพันธ์ให้ออกมามอบตัวอยู่เป็นระยะๆ ไม่ใช่การปิดล้อมตรวจค้นคุกคามบุคคลในบ้านติดต่อกัน 3 วัน และไม่เคยใช้อาวุธสงครามอย่างไม่เหมาะสมโดยการเล็งใส่คนชรา สตรี และเด็ก ตามที่หลายฝ่ายพยายามนำมากล่าวอ้างบิดเบือน จึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายให้ตรวจสอบและนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติ เพราะอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี หรือเป็นแนวร่วมมุมกลับ และอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะนำเสนอข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้สังคมเข้าใจผิด เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดความยุงยากมากยิ่งขึ้นไปอีก” พ.อ.เกียรติศักดิ์ กล่าว
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. ทิ้งท้ายว่า ยังเปิดโอกาสให้นายมูฮัมหมัดฟิตรี เข้ามอบตัวหรือรายงานตัวแสดงตนตามโครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อต่อสู้คดีและพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายต่อไป