"โอรังอัสลี" หรือ "ชาวซาไก" คนพื้นเมืองดั้งเดิมที่เคยอาศัยอยู่ในป่าลึกของ จ.ยะลา และนราธิวาส ปัจจุบันเริ่มมีบางกลุ่มย้ายเขามาอาศัยในพื้นที่ใกล้ความเจริญ ใกล้ชุมชน เข้าเมืองทำงานแลกข้าวหรืออาหาร
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลจากการรุกป่าของคนเมือง รวมไปถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่ทำให้ "โอรังอัสลี" ต้องทิ้งป่า
วิถีความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไปของ "โอรังอัสลี" เห็นได้จากชุมชนหนึ่งของพวกเขา ที่บ้านตราเตาะปากู หมู่ 7 ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ซึ่งการจะเข้าไปถึงถิ่นฐานของพวกเขาได้ ต้องเริ่มเดินทางจากป้ายบ้านมูบาแรแน จากริมถนน สาย 4217 ศรีสาคร–สุคีริน หน้าโรงเรียนร่วมจิตต์ประชา ต.ช้างเผือก เข้าไปตามถนนระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร
แต่การเดินทางไม่ได้ลำบากเหมือนดังอดีต เพราะถนนสายนี้เป็นถนนลาดยาง สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนทุเรียน มังคุด ลองกอง และอื่นๆ เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ถัดจากเรือกสวนจะเจอสะพานแขวนสายสัมพันธ์ข้ามคลองกือซา ถนนลูกรัง ตลอดทางรถกระบะและรถจักรยายนต์สามารถเข้าถึงอย่างสะดวก ช่วงนี้มีระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เจอคลองกือซาอีกครั้ง ก็จะถึงชุมชนโอรังอัสลี
สมาชิกชาวโอรังอัสลีกลุ่มนี้มีดัวยกันทั้งหมด 40 คน จาก 6 ครอบครัว มีหัวหน้าเผ่า คือ นายอับดุลอาซิ อับดุลเลาะ อายุ 35 ปี ในชุมชนของพวกเขาได้สร้างที่อยู่อาศัยเป็นกระท่อม ก่อจากไม้ไผ่ หลังคามุงจาก และคลุมด้วยผ้ายางอีกชั้น มีอยู่ 6 หลังเรียงรายกัน ทุกหลังมีไฟฟ้าใช้ มีจานดาวเทียม มีทีวีและโทรศัพท์มือถือใช้ด้วย แม้จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็ตาม
นายอับดุลอาซิ เล่าว่า ตอนนี้พวกตนไม่เข้าป่าเพื่อหาของป่าตามวิถีชีวิตดั้งเดิมอีกแล้ว แต่ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป ตื่นเช้ามาก็เดินไปกรีดยางท้ายหมู่บ้าน เสร็จก็เดินกลับมากินข้าว แล้วก็ไปรับจ้างถางป่า ใช้มีดพร้าเป็นเครื่องมือ ตอนเย็นมีเวลาว่างก็จะเตะฟุตบอล เล่นกีฬา หรือใครจะนอนพักผ่อนก็พักไป
"พวกเราไม่กินหัวมันแล้ว ไม่เข้าไปหาหัวมันในป่าลึกแล้ว และไม่ได้เป่าลูกดอกมานานกว่า 4 เดือนแล้ว เพราะออกมาอยู่ในหมู่บ้านกับชาวบ้าน ที่สำคัญตอนนี้พวกเราไม่อด เพราะออกมาทำงานรับจ้างได้เงินซื้อข้าวสารและกับข้าวกิน ทั้งยังมีเวลาเรียนหนังสือได้ด้วย เวลาปวดท้องไม่สบายก็ไปหาหมอที่อนามัยได้ ชีวิตแบบนี้มีความสุขกว่าชีวิตแบบเดิมที่อยู่ในป่า" อับดุลอาซิ กล่าว
หัวหน้าเผ่าโอรังอัสลี บอกอีกว่า ที่ผ่านมาในป่าหาของกินยากมาก พวกตนออกไปหาอาหารตั้งแต่เช้ากลับค่ำๆ แล้วแต่ว่าจะเจอหัวมันหรือยอดไม้ ถ้าเจอวันนั้นก็มีอาหาร เอากลับมาเผากินกันกับครอบครัว แต่ถ้าวันไหนออกไปหาของกินไม่เจออะไรเลย ก็ต้องพยายามหาให้ได้ แม้ค่ำมืดก็ตาม ถ้าหาไม่ได้ทุกคนก็ต้องอด ซึ่งชีวิตแต่ละวันแบบเดิมของพวกตนก็มีเวลาแค่หาของกินก็หมดวันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้พวกเรามีเวลาทำอย่างอื่นเยอะขึ้น
"ตอนนี้พยายามติดต่อพูดคุยกับคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างในป่า มีอีก 200 กว่าคน ให้ออกมาอยู่กับพวกเรา บอกพวกเขาว่าให้ออกมาเถอะถ้าอยากสบายแบบนี้ ทุกวันนี้พวกเรามีความสุขมาก อยากมีความสุขก็ออกมา ถ้าอยากลำบากก็อยู่ในป่าต่อไป" หัวหน้าเผ่า กล่าว
ความเป็นอยู่ของชาวโอรังอัสลีที่บ้านตราเตาะปากู ต่างจากคนที่อยู่ในป่ามาก ภาพที่ชัดเจนต้องไปรอดูวันเสาร์ เพราะจะมีคนในป่าลงมาเรียนกับพวกเขา คนในป่าเนื้อตัวมอมแมม เนื่องจากไม่อาบน้ำ ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมๆ ส่วนกลุ่มที่อยู่ในหมู่บ้านจะอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน
นอกจากชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม พวกเขายังได้รับการเรียนการสอน ทั้งในเรื่องภาษาและศาสนา เนื่องจากชาวโอรังอัสลีกลุ่มนี้เข้ารับอิสลาม
นายมูฮัมหมัดยาแอะ มะ อีหม่ามบ้านมูบาแรแน ต.ช้างเผือก อ.จะแนะ กล่าวว่า หลังจากเข้ารับอิสลาม ชาวโอรังอัสลีก็อยู่กับคนมุสลิม ขณะนี้ละหมาดเป็นแล้ว เรียนหนังสือ 3 วันต่อหนึ่งสัปดาห์ จะสอนเขาเป็นภาษายาวี สอนให้เขาเขียน 1 ชั่วโมง เรียนกุรอ่าน 45 นาที สอนวิธีละหมาด 40 นาที สอนเรื่องมารยาท 20 นาที
"สิ่งที่กังวลและหวังมากตอนนี้คือการให้อาชีพที่มั่นคงในระยะยาว ตอนนี้พวกเขากำลังทำสวนของตัวเอง 20 ไร่ ปลูกยาง ปลูกผลไม้ แต่ถ้ารัฐจะช่วยให้เขาเลี้ยงไก่ ถือเป็นสิ่งที่ดี เขาจะได้ไม่ต้องมากินปลากระป๋องและม่ามาทุกวัน อีกเรื่องที่กำลังดำเนินการและหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่รัฐทำบัตรประชาชนให้พวกเขา ทางกลุ่มคนโอรังอัสลีอยากใช้นามสกุล 'ศรีช้างเผือก' เหมือนที่โอรังอัสลีที่ อ.ธารโต จ.ยะลา มีนามสกุลศรีธารโต" อิหม่ามบ้านมูบาแรแน กล่าว
ด้าน นายซอบรี ลาเตะ อายุ 46 ปี ผู้บริจาคที่ดินให้ชาวโอรังอัสลีอยู่และทำกิน เล่าให้ฟังว่า แรกๆ เมื่อ 9 เดือนก่อน พวกเขาลงมาประมาณ 15 คน มาของานทำ บอกว่า จะขอแลกกับใบจากและยาเส้น ก็บังเอิญทำข้าวต้มเยอะ ก็ยกให้เขากินคนละถ้วย เมื่อได้ของเขาก็กลับเข้าป่า นานๆ ครั้งเขาจะลงมาอีก จนตอนหลังก็ลงมาบ่อยๆ กระทั่งพักค้างคืนและมาอยู่ด้วยกัน
ทุกวันนี้พวกเขาตัดยางในที่สวนของที่บ้าน เป็นสวนบนเขาไม่รู้กี่ไร่ เขากรีดยาง 10 วันก็จะได้ 1,000 บาท ทำขี้ยางราคาถูก เขากรีดยางกัน 4 ครอบครัว ก็จะได้ครอบครัวละ 1,000 บาท และจ้างถางป่าอีก รวมทั้งเก็บผลไม้ ก็ประมาณค่าจ้างแล้วจ่ายตามที่คุยกัน ส่วนเงินที่เขาได้ เขาก็เอาไปใช้จ่าย เอาไปกินก๋วยเตี๋ยว มีรถจักรยานยนต์ 2 คัน ใช้ขับออกไปตลาดบ้าง ไปข้างนอก แล้วแต่เขาอยากไป
นายชุมศักดิ์ นรารัตน์วงค์ นักวิจัยชุมชน กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดที่สำรวจโดยนักมนุษยวิทยาที่นราธิวาส พบว่า ชาวโอรังอัสลี ใน อ.จะแนะ กับ อ.ศรีสาคร รวมกันแล้วจะมีประมาณ 5 กลุ่ม ฝั่ง อ.เบตง อ.ธารโต จ.ยะลา มี 7 กลุ่ม รวมประชากรประมาณ 500 คน ส่วนฝั่งเทือกเขาบรรทัด ฝั่งนครศรีธรรมราช สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง รวมกันแล้ว 10 กว่ากลุ่ม ประมาณ 500 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้เหลืออยู่โดยเฉลี่ยประมาณ 1,000 คน ประชากรจะขึ้นๆ ลงๆ เพราะคนกลุ่มนี้จะอายุไม่ยืนยาว เนื่องจากเขาใช้ชีวิตอยู่ในป่า มีเรื่องสุขภาวะ เรื่องสุขภาพหลายอย่าง
จากวิถีเก่าเขาอยู่ในป่า แต่ในทุกวันนี้วิถีเขากำลังได้รับผลกระทบจากการพัฒนาของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นจากเอกชน ภาคประชาชน หรือภาครัฐ ป่าไม่ถูกทำลาย สัตว์ป่าถูกล่า ซึ่งคนเหล่านี้เคยดำรงวิถีชีวิตอยู่ด้วยการหาของป่า ล่าสัตว์ ทำให้ประสบปัญหาอาหารหายากขึ้น มีการรุกทำเป็นป่ายางพารา ทำให้เขาต้องหนีเข้าป่าลึกและหาอาหารยากขึ้น สุดท้ายเขาต้องปฏิสัมพันธ์กับคนเมืองเพื่อมาขออาหาร บางกลุ่มใช้วิธีแลกเปลี่ยนกัน หาของป่า น้ำผึ้งป่า สมุนไพรมาขาย บางคนก็รับจ้างกรีดยาง รับจ้างถางป่า
นักวิจัยชุมชน กล่าวอีกว่า สถานการณ์ความไม่สงบก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พวกเขาต้องหนีเข้าเมืองด้วย กลุ่มคนเหล่านี้มีตั้งแต่สมัยที่เกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทาง จ.ตรัง มีปัญหาชัดเจน ทำให้คนเหล่านี้เสียชีวิต เหมือนโดนลูกหลง โดนเข้าใจผิด หน่วยงานความมั่นคงไปตรวจคิดว่าเป็นฐานของกลุ่มคอมมิวนิสต์ ก็ไปยิงเขา ทำให้เขาเสียชีวิตไปจำนวนหนึ่ง
"หลายครั้งจะเข้าไปเก็บข้อมูล มีการปะทะระหว่างแนวร่วมกับหน่วยงานกับความมั่นคง ทำให้เขาจำเป็นต้องหนี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ซึ่งถ้าไปดูข้อมูลก่อนหน้านี้ ทำไมหมู่บ้านซาไก ที่ อ.ธารโต ทุกวันนี้เหลืออยู่ครอบครัวเดียว ที่เหลือย้ายไปทางมาเลเซียหมด หนึ่งในเหตุผลนอกจากการดำรงชีวิตที่ไม่แน่ไม่นอน การดูแลจากภาครัฐไม่เต็มที่แล้ว ก็คือปัจจัยความไม่สงบที่ทำให้วิถีประจำวันของเขาได้รับผลกระทบ"
นักวิจัยชุมชน กล่าวทิ้งท้ายว่า จุดเปลี่ยนสำคัญของคนกลุ่มนี้ คือการเลือกระหว่างการอนุรักษ์กับการพัฒนา เขาจะเลือกเอง ถ้าเขารับการพัฒนาสมัยใหม่ อัตลักษณ์วิถีดังเดิมของเขาจะถูกทำลาย ในขณะเดียวกันถ้าเขาจะรักษาอัตลักษณ์เก่า เขาก็ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป นี่คือโจทย์สำคัญสำหรับคนกลุ่มนี้...
และอาจจะเป็นโจทย์ของคนกลุ่มอื่น สังคมอื่นด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันเท่านั้นเอง