ผู้กำกับเทพา เผย ผอ.ดอดเข้ามอบตัวคดีอาวุธปืนแล้ว ยอมรับได้ประกัน เหตุเข้าพบตำรวจเอง ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี เตรียมดำเนินคดีกระทำชำเรา พ่วงพรากผู้เยาว์ แถมด้วยอนาจาร หลังอัยการ นักจิตฯ สอบเด็กสาว ม.3 เรียบร้อย รอแค่ผลตรวจร่างกาย ยืนยันไม่มีดึงคดี ส่วนประเด็นไม่ให้ญาติคัดสำเนาใบแจ้งความ แค่หวั่นหลุดถึงมือผู้ต้องหา นำมาใช้สู้คดีได้ ยืนยันเจรจาจ่ายค่าเสียหายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่มีผลต่อรูปคดี
พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม ผู้กำกับการ สภ.เทพา กล่าวถึงความคืบหน้าคดีที่ นายสายัณร์ ชาลีผล ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพา อ.เทพา จ.สงขลา ถูกกล่าวหาพกอาอาวุธปืนเข้าไปในโรงเรียน รวมถึงข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีความสัมพันธ์กับลูกศิษย์สาว ม.3 ว่า วันจันทร์ที่ 8 ก.พ.64 ผอ.ได้เข้ามามอบตัวในข้อกล่าวหาเรื่องอาวุธปืน กระบวนการสอบสวนก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อ ผอ.มาพบเอง ก็สามารถปล่อยตัวชั่วคราวได้ (ให้ประกันตัว) ในคดีพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ
ส่วนคดีหลัก คือคดีกระทำชำเราและพรากผู้เยาว์นั้น ทางอัยการและนักจิตวิทยาได้สอบปากคำเด็กผู้เสียหายเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน ขณะที่ผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหา และเช่นเดียวกันผู้ต้องหาอาจจะเข้ามามอบตัวก็ได้ หรือถ้าไม่มา ตำรวจก็อาจออกหมายจับ แต่ ผอ.เป็นข้าราชการ ก็คงไม่คิดหนี เพียงแต่ต้องไปเตรียมหลักทรัพย์เตรียมอะไรว่ากันไป
"เท่าที่ได้ฟังคำให้การของน้องผู้เสียหาย เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเยอะมาก เอาจริงๆ นะ ก็หนักพอสมควรกับข้อหาเกี่ยวกับพรากผู้เยาว์ เพราะมันไม่ใช่การกระทำความผิดแค่ครั้งเดียว ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาได้กำชับมาว่าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ตอนนี้รออีกอย่าง คือผลชันสูตรของแพทย์เกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องกระทำชำเรา ตรงนี้ก็ประสานกับ ผอ.โรงพยาบาลเทพา คิดว่าไม่น่าจะนาน ผลชันสูตรก็จะเรียบร้อย ถึงอย่างไรเราก็รีบอยู่แล้ว ส่วน ผอ.ก็มีการติดต่อเข้ามอบตัว แต่ยังไม่ได้กำหนดเวลา เพราะจริง ๆ เราต้องการประเด็นเรื่องข้อหาให้ชัดเจนก่อน" ผู้กำกับการ สภ.เทพา ระบุ
และว่า "ผมคิดว่าคงไม่ช้านะ น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ขณะนี้ทางเราเริ่มมีพยานหลักฐานพอสมควรแล้วในการที่จะดำเนินการต่อในข้อหากระทำชำเรา รวมทั้งพรากผู้เยาว์ โดยก่อนหน้านี้เราจะมีคำให้การของพ่อแม่ ซึ่งเป็นคำบอกเล่า แต่ตอนนี้เราได้คำให้การของน้อง ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตรงนี้ หลังจากนี้ก็จะรีบดำเนินการโดยเร็ว"
เป็นคำยืนยันของผู้กำกับการ สภ.เทพา ท่ามกลางความกังวลของครอบครัวผู้เสียหายว่าคดีอาจล่าช้า แล้วสุดท้ายจะเงียบหายไป โดยเฉพาะเมื่อถูกพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตให้คัดสำเนาเอกสารแจ้งความ
"เรื่องคัดสำเนา มันเป็นระเบียบของทางราชการที่ได้อธิบายทางครอบครัวไปส่วนหนึ่งแล้วว่า ในกรณีแบบนี้เป็นทั้งข้อดีและผลเสีย คือเขาอาจบอกว่าเขาไม่มั่นใจกับกระบวนการของตำรวจ แต่เราก็บอกว่าข่าวออกขนาดนี้ ผมในฐานนะผู้กำกับฯ ผมก็ไม่เอาตำแหน่งผมมาเสี่ยง และด้วยระเบียบการคัดสำเนาประจำวัน หรือคำให้การ ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้คัดอยู่แล้ว แต่ต้องหลังจากที่เราส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ เหตุผลสำคัญคือตอนนี้เราไม่รู้ใครเป็นใคร เกิดเอกสารหลุดออกไปแล้ว ทางฝั่งผู้ต้องหาเขาสามารถเอามาใช้ประโยชน์ในการต่อสู้คดีได้ คือเรามองประเด็นนั้นมากกว่า"
ช่วงค่ำวันอังคารที่ 9 ก.พ. พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ ให้สัมภาษณ์ทางรายการ "ข่าวข้นคนข่าว" สถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ว่า ได้เตรียมแจ้งข้อหากระทำอนาจารเพิ่มเติมกับ ผอ.โรงเรียนเทพา อีก 1 ข้อหา โดยเป็นการพิจารณาจากข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องและพยานหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่ ส่วนการไม่อนุญาตให้ครอบครัวผู้เสียหายคัดสำเนาใบแจ้งความ ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และปัจจุบันเลขคดีทุกคดีจะปรากฏอยู่ในระบบฐานข้อมูลกลางของสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ตำรวจท้องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ส่วนข่าวที่ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนเทพา พยายามเจรจากับครอบครัวของเด็กหญิง โดยมีการยื่นข้อเสนอจ่ายค่าเสียหายนั้น พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ บอกว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สามารถทำได้ แต่ตำรวจไม่ได้อยู่ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย คงต้องไปพูดคุยเจรจากันเอง ซึ่งก็อาจจะส่งผลเป็นการบรรเทาผลร้ายจากความผิดที่กระทำลงไป แต่ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปีเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความได้อยู่แล้ว ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นหากมีการดูแลเรื่องค่าเสียหายก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับการทำคดีของตำรวจ เพียงแต่ศาลอาจนำมาพิจารณาในเรื่องความพยายามบรรเทาผลร้าย ซึ่งก็เป็นดุลยพินิจของศาล