เข้าสู่ปีงบประมาณ 2564 และผ่านฤดูของการสับเปลี่ยนกำลังพล ปรากฏว่าแนวทางการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดับไฟใต้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการลดเหตุรุนแรงลงให้ได้ 20% พร้อมแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรื่องคนว่างงาน ทั้งจากโควิด-19 นักศึกษาจบใหม่ และคนไทยที่กลับจากประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ ผบ.ทบ.ลงใต้ครั้งแรก การันตีเดินถูกทาง
วันพุธที่ 4 พ.ย.63 พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ลงพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อประชุมหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) พร้อมพบปะผู้นำศาสนา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อหารือและรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหาตลอดจนการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เกิดความยั่งยืน
พล.อ.ณรงค์พันธ์ หรือ "บิ๊กบี้" ซึ่งลงใต้เป็นครั้งแรกในฐานะ ผบ.ทบ. กล่าวว่า ภารกิจของทุกหน่วยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากเรื่องความมั่นคงแล้ว ยังมีเรื่องของการป้องกันภัยจากโรคระบาด ซึ่ง กอ.รมน.ภาค 4 สน.ต้องดูแล โดยเฉพาะการป้องกันชายแดน ถือเป็นหน้าด่านสำคัญที่จะช่วยป้องกันให้ภายในบ้านปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องภัยแทรกซ้อน ทั้งแรงงานต่างด้าว ยาเสพติด และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ซึ่งต้องเข้มงวดให้มากขึ้น และเป็นงานหนักของเจ้าหน้าที่ที่ต้องดูแล กำลังใจจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้จึงตั้งใจมาดูแลทุกข์สุขของกำลังพลด้วย
"ที่ผ่านมาการทำงานของ กอ.รมน.ภาค 4 สน.ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง เหตุการณ์ต่างๆ ลดลงอย่างมาก นับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา แนวทางการทำงานในขณะนี้ถือว่าดีอยู่แล้ว แนวทางการทำงานยังคงเจตนารมณ์ที่จะสานต่อสิ่งที่ทำมาต่อไป เพื่อให้พื้นที่นี้กลับมาสงบร่มเย็นอีกครั้ง" ผบ.ทบ. กล่าว
ขณะที่ ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ซึ่งเข้าพบหารือกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ด้วย กล่าวว่า กล่าวว่า ทางผู้นำศาสนาได้ขอให้กองทัพรักษาความสงบเช่นนี้ต่อไป และดำเนินการเพิ่มเติมใน 3 เรื่อง คือ การช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 โดยเฉพาะผู้ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันไม่มีงานทำ เรื่องต่อมาคือการพัฒนาความรู้ที่นำไปสู่ความมั่นคง ความสมานฉันท์ในสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมการศึกษาในพื้นที่ และเรื่องสุดท้ายคือการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของพี่น้องต่างศาสนา ระหว่างไทยพุทธและไทยมุสลิม ให้เกิดความไว้เนื้อเชื้อใจ รักใคร่สมัครสมานเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรมดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา
ก่อนหน้าการลงพื้นที่ของ ผบ.ทบ. ปรากฏว่าผู้แทนของหน่วยงานรัฐ 3 ฝ่าย คือ นายธีรพงศ์ เพชรรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พ.อ.วัชรกร อ้นเงิน รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. และ พ.ต.อ.วศิน จินตเสถียร ผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำลังตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันแถลงกรอบการปฏิบัติงานภายใต้ปีงบประมาณ 2564
ผู้แทนจาก ศอ.บต.ระบุตอนหนึ่งว่า จะเร่งขับเคลื่อนเมืองต้นแบบ 4 แห่ง คือ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส อ.หนองจิก จ.ปัตตานี อ.เบตง จ.ยะลา และ อ.จะนะ จ.สงขลา ซึ่งในส่วนของอุตสาหกรรมก้าวหน้าจะนะ จะเร่งขับเคลื่อน 3 ด้าน คือ
1. ด้านการพัฒนาการศึกษาและเศรษฐกิจภายใต้วิถีชีวิตชุมชน ซึ่งประกอบด้วยการยกระดับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และเตรียมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยอิสลาม เพื่อรองรับการพัฒนาในอนาคต
2. ด้านการขับเคลื่อนของภาคเอกชน เช่น โครงการ Smart City สวนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พลังงานสะอาด ระบบขนส่งทางทะเล
และ 3. ด้านการดำเนินการของภาครัฐ เช่น ยกระดับด้านการแพทย์และสิ่งแวดล้อม
นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาด้านคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจ โดยจะเน้นเป้าหมายเร่งด่วน ได้แก่ ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ครัวเรือนตกเกณฑ์ จปฐ. (ข้อมูลความจำเป็นขั้นพื้นฐาน) จำนวน 2,000 ครัวเรือน และเยาวชนจบการศึกษาใหม่ปี 2564 จำนวนไม่น้อยกว่า 36,000 คน ตลอดจนประชาชนที่ว่างงานในทุกช่วงวัย
ขณะที่ฝ่ายตำรวจ ระบุว่า จะดำเนินการบังคับใช้กฏหมายอย่างเข้มข้นและเป็นธรรม เพื่อติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีหมายจับ ปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย ตัดช่องโอกาสไม่ให้ผู้ก่อเหตุมาก่อเหตุได้อย่างสะดวก รวมถึงดำเนินการกับผู้ให้การสนับสนุนการก่อเหตุ ซึ่งเปรียบเสมือนไม้ค้ำยันให้กับผู้ก่อเหตุ ให้ถูกดำเนินคดี รวมไปถึงผู้ให้ที่พักพิงกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงด้วย โดยมีเป้าหมายที่ลดเหตุความมั่นคงลงจากปีที่แล้วลง 20%