ครอบครัวทำพิธีฝังศพ นายมะไซดี แวสุหลง ตามหลักศาสนาอิสลามแล้วตั้งแต่เมื่อเย็นวันพฤหัสบดีที่ 18 มิ.ย.63
พิธีจัดขึ้นที่บ้านของ นางสีตีอามีเนาะ โต๊ะเยะ ซึ่งเป็นน้าสาวของผู้ตาย ที่ ต.ปุโละปุโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี โดยไม่มีการอาบน้ำศพ
นายมะไซดี ถูกวิสามัญฆาตกรรมจากเจ้าหน้าที่ทหาร ภายหลังก่อเหตุยิงพลทหารได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณจุดตรวจ Pop-Up (จุดตรวจเคลื่อนที่) ในพื้นที่ อ.เมืองปัตตานี เหตุเกิดในวันพฤหัสบดีที่ 18 มิ.ย.เช่นกัน (อ่านประกอบ : เผยเบื้องหลังยิงทหารคาด่าน สงสัยผิดแผนเจอจุดตรวจ Pop-Up)
เจ้าหน้าที่ทหารนำโดยผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 4306 เดินทางไปสังเกตการณ์พิธีศพที่บ้านงาน และที่กุโบร์ (สุสาน) ที่ใช้ฝังศพ โดยรายงานของฝ่ายความมั่นคงระบุว่า มีญาติมิตรและประชาชนเข้าร่วมพิธีศพราวๆ 100 คน สาเหตุที่ไม่มีการอาบน้ำศพ ญาติแจ้งว่าเป็นความประสงค์ของผู้ตายเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
รายงานของทหารยังระบุว่า ทางหน่วยได้มอบข้าวสาร 1 กระสอบให้กับ นางสีตีอามีเนาะ โต๊ะเยะ น้าสาวของผู้ตาย เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้ที่ร่วมละมาดศพ ขณะที่ทัศนคติของญาติคนตายเข้าใจถึงความจำเป็นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี และรู้สึกเสียดายที่เคยนำตัวนายมะไซดีรายงานตัวเข้าโครงการพาคนกลับบ้านแล้ว เมื่อวันที่ 12 ก.ค.62 แต่เจ้าตัวกลับหนีหายไปในคืนวันเดียวกัน ก่อนจะพบจุดจบ
"ทีมข่าวอิศรา" ได้พูดคุยกับญาติคนหนึ่งของนายมะไซดี เขาเล่าเพิ่มเติมว่า พิธีฝังศพมะไซดีดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยมะไซดีเคยบอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า ถ้าเสียชีวิตไปไม่ให้อาบน้ำศพ
ในส่วนของการแห่ศพ ถือเป็นเรื่องปกติของคนอิสลามที่จะแบกศพ แล้วแห่ไปกุโบร์ เช่นเดียวกับการตักบีรฺ หรือกล่าวสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ถือเป็นเรื่องปกติที่มุสลิมเข้าใจดี และคนในพื้นที่เข้าใจดีว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่หรือคนที่อคติกับอิสลาม ก็จะมองว่าการแห่ศพไปกุโบร์ และมีการตักบีรฺด้วย คือเครื่องหมายความเป็น "จูแว" (นักสู้) ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่สัญลักษณ์สำหรับสิ่งเหล่านั้นเลย
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา (มะไซดี) ถือเป็นสิ่งที่เขาเลือกแล้ว คือความประสงค์ของอัลลอฮ์ที่กำหนดมาก่อนแล้ว ครอบครัวทุกคนก็ยอมรับตามความประสงค์ เราไม่สามารถที่จะฟื้นสิ่งที่ถูกกำหนดมาได้ เราควรดุอาให้เขา"