
“มหาอุทกภัยหาดใหญ่” ไม่จบที่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และน้ำเริ่มลดลง ถนนหนทางสัญจรไปมาได้ เนื่องจากความเสียหายมากมายจริงๆ
โดยเฉพาะจำนวนร่างไร้วิญญาณที่เสียชีวิตจากน้ำที่ท่วมฉับพลัน
“ทีมข่าวอิศรา” สรุปประเด็นจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและผู้รับผิดชอบจากมหาอุทกภัยหนนี้ ซึ่งบางเรื่องรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามอธิบาย ส่วนจะฟังขึ้นหรือไม่ ขึ้นกับวิจารณญาณของประชาชน
1.คาดการณ์สถานการณ์ผิด จึงไร้แผนเผชิญเหตุรับ “มวลน้ำระลอก 2” จาก อ.สะเดา ขณะที่นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่วันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.68 เชื่อมั่นว่าจุดพีคของอุทกภัยหาดใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว
จริงๆ นายกฯลงพื้นที่ 2 วันติด คือวันเสาร์ กับวันอาทิตย์ (22-23 พ.ย.) ซึ่งเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ระลอกแรก จากฝนที่ตกหนักบริเวณเขาคอหงส์ และ อ.นาหม่อม แล้วน้ำทะลักเข้าหาดใหญ่ ระดับน้ำ 1-2 เมตรโดยเฉลี่ย
ฟังเสียงนายกฯ ที่ลงหาดใหญ่รอบ 2 คือ ห่วงเรื่องอาหารการกินจะขาดแคลน และได้ลงไปสั่งแก้ไขปัญหา รับประทานข้าวไข่เจียวเหมือนกับผู้ประสบภัย แถมยังพูดเอาใจว่า ผู้ประสบภัยกินแบบใด นายกฯก็กินแบบนั้น ก่อนจะเดินทางกลับด้วยความมั่นใจ

แต่แล้วเมื่อกลับไป มวลน้ำอีกระลอกจาก อำเภอสะเดา กลับทะลักมาเติม รวมถึงฝนที่ตกไม่หยุด
ฉะนั้นจึงสรุปความได้ว่า นายกฯได้รับฟังรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งสรุปได้ว่าประเมินสถานการณ์ผิดพลาด
2.ผลที่ตามมาคือ มวลน้ำมาเยอะเกินคาด จึงรับมือไม่ไหว และทุกอย่างเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ การช่วยเหลือเข้าไม่ถึง
ประเด็นนี้ รัฐบาลพยายามอธิบายว่า มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าหลายรอบ แต่ประชาชนไม่อพยพ
ขณะที่ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ระบุว่า การแจ้งเตือนของทางเทศบาล เกิดขึ้นหลังจากสื่อสารแสดงความมั่นใจว่า “เอาอยู่” แต่เมื่อทำท่าจะ “เอาไม่อยู่” ก็แจ้งเตือน เปลี่ยนสีธง จาก “ธงเหลือง” เป็น “ธงแดง” แบบรัวๆ ทำให้อพยพไม่ทัน
3.แม้จะมีการอพยพในเวลาต่อมา แต่ทางเทศบาล และอำเภอ ก็ไม่มีแผนอพยพที่ดีพอ ไม่รัดกุม และไม่สามารถรองรับสถานการณ์ได้ทันท่วงที ไม่มีศูนย์กลางประสานข้อมูล รับแจ้ง และส่งต่อข้อมูลไปยังทีมกู้ภัย

4.ไม่มีการจัดระเบียบหน่วยราชการและจิตอาสาที่เข้าพื้นที่ ไม่มีการจัดตั้ง “ศูนย์ประสานงาน” กระจายไปยังจุดที่มีปัญหา ทำให้จิตอาสา และเจ้าหน้าที่ ต่างคนต่างเข้าไปช่วยเหลือแบบเปะปะ ประกอบกับน้ำลึก น้ำเชี่ยว ผู้ช่วยเหลือบางคนกลายเป็นผู้ประสบภัยเสียเอง
5.ไม่เตรียมความพร้อมศูนย์พักพิงรองรับผู้อพยพ โดยคนที่อพยพสำเร็จ ออกจากบ้านที่จมน้ำได้ แต่เมื่อไปถึงศูนย์พักพิง กลับไม่มีที่นอนหมอนมุ้ง ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำดื่ม พอคนไปเยอะ น้ำท่วมหนัก ปรากฏว่า น้ำไม่ไหล ส้วมเต็ม ซ้ำเติมความลำบาก
6.ไม่เตรียมแผนรองรับการตัดไฟฟ้า ระบบสื่อสารล้มเหลว เมื่อไฟถูกตัด มือถือล่ม แบตหมด ทำให้สถานการณ์ยิ่งโกลาหล เกิดความวิตกกังวลลุกลาม เพราะคนที่อยู่นอกพื้นที่ มีครอบครัว มีญาติอยู่ที่หาดใหญ่ ก็ติดต่อญาติพี่น้องไม่ได้ ทำให้ยิ่งเครียด และเกิดกระแสกดดันไปยังรัฐบาลมากขึ้น
7.รัฐบาลตั้งศูนย์บัญชาการรับมือกับสถานการณ์ช้าเกินไป
จาก “สารพัดปัญหา” ที่รวบรวมมา จะพบว่า หากพิจารณาตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นกฎหมายที่สมควรต้องหยิบมาใช้ในสถานการณ์นี้ ย่อมมีหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้องระดับนโยบายที่ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย
โดยเฉพาะปัญหาข้อ 1 ถึงข้อ 6
- ผู้ว่าราชการจังหวัด เพราะมีสถานะเป็น “ผู้อำนวยการจังหวัด” รับผิดชอบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเขตจังหวัด มีหน้าที่ตั้งแต่จัดทำแผน, ฝึกอบรม, กำกับดูแลให้ท้องถิ่นมีอุปกรณ์และยานพาหนะที่เพียงพอ รวมถึงดูแลการปฏิบัติต่างๆ เมื่อมีสาธารณภัยเกิดขึ้น พร้อมจัดหาสถานที่พักพิงและรักษาพยาบาลผู้ประสบภัย (พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 15)

- นายอำเภอ มีสถานะเป็น “ผู้อำนวยการอำเภอ” รับผิดชอบลักษณะเดียวกับผู้ว่าฯ แต่ลดสเกลลงมาเป็นพื้นที่อำเภอที่ตนรับผิดชอบ (พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 19)

เมื่อเกิดสาธารณภัยขึ้นมา ผู้ว่าฯ ในฐานะ “ผู้อำนวยการจังหวัด” และนายอำเภอ ในฐานะ “ผู้อำนวยการอำเภอ” มีหน้าที่และอำนาจในการสั่งการในเรื่องต่างๆ เพื่อบรรเทาและคลี่คลายสาธารณภัย ตลอดจนสำรวจความเสียหาย และออกหนังสือรับรองให้ผู้ประสบภัย เพื่อรับเงินสงเคราะห์เยียวยา (พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 16, 20-29)

- นายก อบจ. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสถานะเป็น “ผู้ปฏิบัติ” และ “ผู้สนับสนุน” (พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มาตรา 20)

หลังพิบัติภัยที่หาดใหญ่ จึงมีการสั่งเด้ง “นายอำเภอหาดใหญ่” เป็นรายแรก และสั่งให้ออกจากราชการในเวลาต่อมา ซึ่งถือว่าเป็น “ผู้อำนวยการระดับอำเภอ” ที่ต้องรับผิดไปเต็มๆ
คิวต่อไปที่หลายคนมอง คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ คนที่โดนรายถัดมากลายเป็น ผู้กำกับการ สภ.หาดใหญ่
ที่น่าสนใจคือ มาตรา 31 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กฎหมายกำหนดให้ กรณีที่เกิด “สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง” ให้นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯที่นายกฯมอบหมาย มีอำนาจสั่งการ “ผู้บัญชาการ” และผู้อำนวยการระดับต่างๆ ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการบรรเทาและแก้ไขสาธารณภัย

คำว่า “ผู้บัญชาการ” ตามกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจควบคุมและกำกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทั่วราชอาณาจักร ( พ.ร.บ. มาตรา 13)

คำถามคือ งานนี้ “นายกรัฐมนตรี” ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ จากความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้น เพราะต้องไม่ลืมว่า นายกฯ ยังควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย!
