
กิจกรรมเรียกร้องให้รื้อคดีตากใบ และแก้กฎหมาย หรือทำอย่างไรก็ได้ให้ “คดีตากใบไม่มีอายุความ” คือหัวข้อหลักของการเคลื่อนไหวในวาระ 21 ปีการครบรอบโศกนาฏกรรม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568
กระแสที่ถูกนำมาเรียกร้อง นับว่าปะทุขึ้นหลังจากเมื่อปีที่แล้ว คดีสำคัญที่เกี่ยวข้องการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมและทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนเสียชีวิต ได้รับบาดเจ็บ และทุพพลภาพ ต้องขาดอายุความไป โดยกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมาขึ้นศาลได้แม้แต่คนเดียว
ที่สำคัญคือ จำเลยที่ 1 กลายเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำรัฐบาลในขณะนั้น ทำให้สถานการณ์ “การขาดอายุความ” เพราะหาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ ยิ่งไม่สมเหตุสมผล และไม่ควรเกิดขึ้นได้เลย
กลายเป็นว่ารัฐบาลในฐานะ “ตัวแทนรัฐไทย” ไม่มีความรับผิดชอบ และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึก “อยุติธรรม” เกิดขึ้นในวงกว้าง
อย่างไรก็ดี คดีตากใบยังมีบริบทอื่นๆ อีกหลายส่วนที่รัฐบาลในอดีต และหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบได้แก้ไขไปแล้ว แต่กลับไม่ถูกหยิบมาพูดถึง หรืออธิบายทำความเข้าใจกับสังคม
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง เรียกภาวะนี้ว่า “รัฐอัมพาต” และภาวะนี้เองที่ทำให้รัฐไทยเสียหายหนักขึ้นในสงครามความไม่สงบที่ดินแดนปลายด้ามขวาน
@@ รัฐอัมพาตอีกแล้ว!
คาดเดาได้ไม่ยากว่า ในวาระครบรอบ “เหตุการณ์ตากใบ” จะต้องมีการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐ ดังเช่นที่มีการดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง จนบางทีเราอาจต้องหันไปพิจารณาการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ในบริบทของปัญหาทางการเมืองและความมั่นคงที่เกิดขึ้น
สำหรับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามิได้เป็นเรื่องของปัญหาตากใบในแบบที่เป็นเอกเทศ โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธที่เกิดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นจึงน่าจะทดลองหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเปิดประเด็นกัน โดยเราอาจตั้งข้อสังเกตได้ดังนี้
1.ในสงครามการก่อความไม่สงบโลก ฝ่ายต่อต้านรัฐจะต้องทำลาย “ความชอบธรรมของรัฐ” ในทุกวิถีทาง เพราะการทำลายความชอบธรรมของรัฐ จะทำให้รัฐสูญเสียความน่าเชื่อถือจากประชาชนในพื้นที่
2.ในการทำเช่นนี้ จึงต้องมีการหยิบเรื่องที่เป็น “จุดอ่อน” ของรัฐมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว และการเคลื่อนไหวเช่นนี้มีวัตถุประสงค์โดยตรงในการประกอบสร้างวาทกรรมในแบบ “รัฐผิดจนไม่อาจให้อภัยได้” เพราะความผิดเช่นนี้ จะทำให้มวลชนในพื้นที่มีอาการ “ปฏิเสธรัฐ” หรือ “ไม่ยอมรับรัฐ” และหันมาเข้าร่วมกับฝ่ายต่อต้านรัฐ
3.ปัญหาความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ชุดปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นมาจาก 3 เหตุการณ์สำคัญ คือ การปล้นปืนจากค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาสตอนต้นเดือนมกราคม 2547 ตามมาด้วยการโจมตีมัสยิดกรือเซะจังหวัดปัตตานีในเดือนเมษายน 2547 และกรณีความรุนแรงที่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ จังหวัดนราธิวาสในเดือนตุลาคม 2547
4.แต่กรณีที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในพื้นที่จะเป็นกรณีตากใบเท่านั้น น่าสนใจว่า การปล้นปืนจากค่ายทหาร และกรณีมัสยิดกรือเซะ แทบไม่เคยถูกหยิบมาเป็นประเด็นการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
5.ในการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐนั้น กรณีตากใบมีองค์ประกอบของการเป็นประเด็นที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองที่จะใช้ในการปลุกระดม “ต่อต้านรัฐไทย” เพราะมีการเสียชีวิตที่ชัดเจน แม้ตัวของปัญหามีความไม่ชัดเจน หากแต่ความไม่ชัดเจนเช่นนี้ กลับเป็นเงื่อนไขที่ดีที่จะใช้ในการสร้าง “วาทกรรมต่อต้านรัฐ” เพราะฝ่ายรัฐเองในยุคต่อมาก็ไม่มีความพยายามชี้แจง คือ ดำรงสภาวะ “รัฐอัมพาต”
6.ดังจะเห็นได้ว่า ตัวเหตุการณ์นั้น เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2547 และครบรอบของการสิ้นสุดในทางคดีในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งน่าสนใจว่า การเคลื่อนไหวของการเรียกร้องทางกฎหมายและการเมืองเกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายก่อนที่คดีจะสิ้นสุดลง
7.ฝ่ายรัฐถูกโจมตีอย่างมากว่า ไม่สนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น และเสมือนกับไม่ทำหน้าที่ในการ “อำนวยความยุติธรรม” ให้เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหา แต่ฝ่ายต่อต้านรัฐและบรรดาแนวร่วมจะแสดงออกด้วยการไม่ยอมรับต่อการดำเนินการที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการเรียกร้องให้ “คดีตากใบไม่มีอายุความ” ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว คดีที่ BRN ก่อเหตุต่างๆ ควรไม่มีอายุความด้วยหรือไม่ เช่น กรณีปล้นปืน การสังหารครูจูหลิงและ 2 นาวิกโยธินในหมู่บ้าน หรือการสังหาร 2 พ่อลูก ตชด. เป็นต้น
8.ในความเป็นจริงจะพบข้อมูลที่ BRN และแนวร่วมต่อต้านรัฐไม่ยอมรับ คือ หลังจากเกิดปัญหาขึ้น ได้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระแสวงหาความจริง” ขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 และกรรมการนี้มีบุคคลที่เป็นชาวมุสลิมเป็นกรรมการร่วมด้วย มิใช่มีแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ หรือบุคคลที่เป็นไทยพุทธฝ่ายเดียว (ผู้สนใจอาจหาอ่านรายละเอียดได้จากเอกสารของสถาบันพระปกเกล้า)
9.คดีนี้เคยมีการฟ้องร้องในศาลด้วย จำนวน 4 คดี แต่ฝ่ายรัฐยอมประนีประนอม เพื่อเป็นเงื่อนไขทางกฎหมาย เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับค่าเสียหายทางแพ่ง ด้วยการจ่ายค่าเยียวยาเป็นจำนวน 641 ล้านบาท ให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 987 คน
10.การดำเนินการถอนฟ้องแกนนำ และประนีประนอมกับญาติผู้เสียชีวิตในการจ่ายเงินเยียวยา ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความต้องการของฝ่ายรัฐที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมภายใต้แนวคิด “ยุติธรรมสมานฉันท์” อันจะเป็นแนวทาง “ยุติธรรมนำการเมือง” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น และไม่ใช้ “สิทธิของรัฐ” ในการอ้างถึงอำนาจตามกฎหมายที่ใช้คุ้มครองเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน
11.รัฐบาลไทยได้แสดงความจริงใจด้วยการที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าว “คำขอโทษ” ในเรื่องนี้ ทั้ง นายกฯ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร และนายกฯทักษิณ ชินวัตร ตัวแทนของรัฐไทยได้แสดงออกอย่างชัดเจนในเรื่องนี้
12.การดำเนินการของฝ่ายรัฐไทยในเรื่องนี้ ควรได้รับการชี้แจง และนำออกเผยแพร่ มิใช่ตกอยู่ในภาวะ “รัฐอัมพาต” ที่ไม่ยอมขยับตัว เนื่องจากรายละเอียดในการดำเนินการทั้ง 3 เรื่องหายไปจากความรับรู้ ได้แก่ คณะกรรมการอิสระฯ ยุติธรรมสมานฉันท์ และการยุติคดี และการจ่ายเงินเยียวยา
13.การนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อต้องการชี้ให้เห็นถึง “ความรับผิดชอบ” ของรัฐ จะมองว่ารัฐไทยไม่รับผิดชอบเลย อาจจะไม่จริงเท่าใดนัก เพราะได้มีการดำเนินการทั้ง 3 ส่วน
14.หากเราไม่สุดโต่งแล้ว เราจะเห็นได้ว่า รัฐไทย/รัฐบาลไทยไม่ได้มีนโยบายเป็นปฏิปักษ์กับมุสลิม หรือรัฐไทยดำเนินนโยบายปราบปรามพี่น้องมุสลิมอย่างที่วาทกรรมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนและบรรดาแนวร่วมหยิบมาเป็นประเด็นการเคลื่อนไหว
15.ในทางกลับกัน ความสุดโต่งมาจาก “ปฏิบัติการด้วยกำลังอาวุธ” ของขบวนการก่อการร้าย BRN ที่มีวัตถุประสงค์ในการทำลายล้างความเป็น “พหุภาคี” ทางสังคมวัฒนธรรมของผู้คนในพื้นที่ โดยเฉพาะการมุ่งทำลายฐานทางเศรษฐกิจ และกวาดล้างอิทธิพลสังคมวัฒนธรรมของชาวไทยพุทธให้หมดไป เพื่อสร้าง “วัฒนธรรมเดี่ยว” ในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งในทางกลับกัน สภาวะสุดโต่งเช่นนี้ จะเป็นปัญหาภัยคุกคามความมั่นคงต่อรัฐมุสลิมของมาเลเซียเองด้วย
// ท้ายบท //
ข้อสังเกต 15 ประการนี้ เขียนเพื่อสะท้อนให้เห็นความรับผิดชอบของรัฐไทยในปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต และทั้งยังเป็นข้อเตือนใจอย่างดีว่า การคิดถึงแนวทางการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องคิดด้วยความรอบคอบ แต่ก็มิใช่ด้วยท่าทีแบบ “ยอมจำนน” ที่เชื่อว่า “เรายอมโจร แล้วโจรจะยอมเรา”
สุดท้ายนี้ เราอาจต้องยอมรับความจริงว่า ขบวนติดอาวุธและบรรดาแนวร่วมทั้งที่อยู่นอกประเทศ ในประเทศ และที่อยู่ในและนอกเวทีการเมือง พวกเขาล้วนสมาทานความคิดแบบ “ลัทธิสุดโต่ง” และไม่เคยหยุดเคลื่อนไหว ไม่เคยหยุดเรียกร้อง
และการเรียกร้องเช่นนี้ มีแนวโน้มที่หนักขึ้นจากความได้เปรียบใน “เวทีการเมืองรัฐสภา” ซึ่งพวกเขาเชื่อว่า ความได้เปรียบในเวทีสภาไทยจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกดินแดน
ดังนั้น รัฐไทย/รัฐบาลไทยจึงควรต้องยุติความเป็น “รัฐอัมพาต” เสียที เพราะข้าศึกไม่เคยมีอาการ “อัมพาต” ในการฆ่าและทำร้ายคนในพื้นที่ !
