
นับตั้งแต่การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาตั้งแต่ช่วงกลางปีเป็นต้นมา ทหารไทยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิดต่อเนื่องกันหลายครั้ง
จนครั้งล่าสุดมีทหารเหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บและสูญเสียขาอีก 1 คน ทำให้ทหารฝ่ายเราต้องเสียขา รวมทั้งสิ้น 7 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ได้สั่งหยุดเดินหน้าตามข้อตกลงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาในทันที พร้อมเตรียมประท้วงไปยังประเทศกัมพูชา และทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดที่พื้นที่ชายแดนติดกัมพูชาอีกครั้ง
แม้ว่าก่อนหน้านี้ประเทศไทยได้ตอบโต้ด้วยการประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สาคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเป็นการละเมิดพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) อย่างชัดเจน โดยไทยได้ส่งหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา และประธานอนุสัญญาออตตาวา มีรายละเอียดความว่า
“การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการตามมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียและฝ่ายไทยได้เรียกร้องฝ่ายกัมพูชาหยุดการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวาโดยทันที และให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดน ตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี และตามที่ฝ่ายไทยได้เสนอต่อที่ประชุม GBC ครั้งที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ตอบสนอง” (1)
นอกจากไม่ตอบสนองและบ่ายเบี่ยงไม่ให้ความร่วมมือตลอดมาแล้ว เมื่อเกิดเหตุแต่ละครั้ง กัมพูชามักปฏิเสธเสียงแข็งว่าเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดของทหารไทยจนเสียขาจากการเดินลาดตระเวนในฝั่งไทย รวมทั้งทุ่นระเบิดที่ตรวจพบอีกจำนวนมากในระหว่างการเคลียร์พื้นที่นั้น ไม่ใช่เป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งที่กองทัพบกไทยได้ยืนยันตอบโต้ว่ามีหลักฐานชัดเจนตามที่ตรวจพบก็ตาม

จนกระทั่งในภายหลังได้มีการประชุมและลงนามในแถลงการณ์ร่วมที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 โดย นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ร่วมประชุมและลงนามในแถลงการณ์ร่วม (Joint Declaration) โดยมี นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม
โดยในแถลงการณ์ตอนหนึ่งระบุว่า “ประสานงานและดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนตามที่ตกลงในที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างสองประเทศ” (2)
และแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังเกิดเหตุการณ์สูญเสียขาและบาดเจ็บของทหารฝ่ายไทยอีกจนได้
@@ “ทุ่นระเบิด” อันตรายที่มองไม่เห็น

หลายสิบปีก่อน มีข่าวให้ได้ยินอยู่เนืองๆ ว่าคนไทยที่อาศัยอยู่ตามชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาตลอดแนว เสียชีวิต สูญเสียขาและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก สัตว์เลี้ยงที่ใช้ทำนาทำไร่ก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน จากการเหยียบทุ่นระเบิดที่มีการฝังไว้ในช่วงสงคราม
พื้นที่หลายต่อหลายแห่งตามชายแดนกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามและรกร้างเพราะชาวบ้านไม่สามารถเข้าไปทำมาหากินได้ และมีพื้นที่จำนวนไม่น้อยถูกชาวกัมพูชาฉวยโอกาสยึดไปเป็นของตัวเอง หลังจากมีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจากความร่วมมือของนานาชาติ รวมทั้งความร่วมมือระหว่างฝ่ายไทยกับกัมพูชา การบาดเจ็บและสูญเสียชีวิตของผู้คนของทั้งสองประเทศจากการเหยียบทุ่นระเบิดก็เป็นข่าวน้อยลง
จนเมื่อเกิดการปะทะครั้งแรกจนถึงครั้งล่าสุด และทำให้ทหารไทยบาดเจ็บและเสียขาไปถึง 7 นาย โดยเขมรอ้างตลอดมาตั้งแต่ต้นว่าไม่ใช่เป็นทุ่นระเบิดที่ฝังใหม่นั้น จึงเป็นการอ้างไปแบบข้างๆ คูๆ ตามนิสัยเขมร ซึ่งคนไทยตามชายแดนรู้ดีและมักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เขมรไว้ใจไม่ได้ - พูดอย่างทำอย่าง - พูดเช้าพลิกลิ้นเย็น - เป็นคนเอาแต่ได้ - และไม่เคยแสดงการขอโทษหรือเสียใจในสิ่งที่ทำผิด” เป็นต้น

การใช้ “ทุ่นระเบิด” หรือ Landmine ในการรบ เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณ
โดยครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้ คือ ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (Song Dynasty) เพื่อต่อต้านการรุกรานของชาวมองโกลของจีน ในศตวรรษที่ 13
ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 16 ประเทศอิตาลี มีการใช้อาวุธที่เรียกว่า ฟูกาส (fourgasses : อาวุธ ) ในสนามรบ โดยการนำปืนใหญ่ไปฝังไว้ใต้ดิน และจุดชนวนเพื่อกระจายดิน หิน และเศษหินไปยังทหารที่เดินผ่านไปมาในบริเวณใกล้เคียง
ยุคต่อมาช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา นายพล กาเบรียล เรนส์ (General Gabriel Rains) ได้ออกแบบทุ่นระเบิดสมัยใหม่ชิ้นแรกขึ้น เพื่อป้องกันทหารที่มีจำนวนน้อยกว่าจากการรุกรานของศัตรู จนนำไปสู่การสูญเสียชีวิตหมู่ครั้งใหญ่จากทุ่นระเบิดครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีได้ปรับปรุงทุ่นระเบิดของ นายพล เรนส์ และพัฒนาทุ่นระเบิดเพื่อต่อต้านรถถังรุ่นแรกในปี 1929 เทคโนโลยีของเยอรมันถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย โดยกองทัพของประเทศต่างๆ ทั่วโลก และถูกนำมาใช้เพื่อโจมตีกองกำลังฝ่ายตรงข้ามและป้องกันชายแดน (3)
ปัจจุบันการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถูกห้ามใช้ใน 165 ประเทศภายใต้สนธิสัญญาห้ามทุ่นระเบิดของสหประชาชาติ หรือเรียกอีกอย่างว่า “อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Treaty)” แต่ทุ่นระเบิดก็ยังคงก่อความเสียหายทั้งการบาดเจ็บและเสียชีวิตต่อชีวิตพลเรือนและทหารอย่างต่อเนื่อง และถูกนำไปใช้ในการรบนอกรูปแบบอยู่ตลอดเวลา
@@ อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa treaty)

เมื่อ 9 ปีที่แล้วมีรายงานจาก Landmine monitor 2016 ว่า ในปี 2015 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดและระเบิดทำลายล้างสูง (Explosive Remnants of War : ERW) จานวน 6,461 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 75 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนผู้บาดเจ็บในปี 2014
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่มาจากจำนวนผู้บาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นในความขัดแย้งทางอาวุธในลิเบีย ซีเรีย ยูเครน และเยเมน ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดที่บันทึกไว้ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน (4)
ในอีก 8 ปีต่อมา รายงานจาก Landmine monitor 2024 พบว่า มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและระเบิดทำลายล้างสูงทั่วโลกอย่างน้อย 5,757 คนในปี 2023 โดยมีสัดส่วนของพลเรือนคิดเป็น 84 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่เด็กมีจำนวน 37 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตพลเรือนทั้งหมด
ทุ่นระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised landmines) ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุด เมื่อเทียบกับทุ่นระเบิดและระเบิดทำลายล้างสูงทุกประเภท (5)
จากรายงานครั้งล่าสุด แม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดและระเบิดทำลายล้างสูง ลดลงจากหลายปีก่อน แต่การเสียชีวิตของพลเรือนกลับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตของเด็กมากถึง 37 เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงจนน่าตกใจ
แสดงให้เห็นว่า “อนุสัญญาออตตาวา” ที่มีผลบังคับใช้มาแล้วนานถึงเกือบ 30 ปี ไม่ได้ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลดลงอย่างเป็นที่น่าพอใจ และยังมีการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอยู่ตลอดเวลา

จากรายงานพบว่าประเทศกัมพูชาคู่กรณีของไทย มีทุ่นระเบิดและเศษวัตถุระเบิดจากสงครามฝังอยู่ในดินแดนของตนมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก หลังจากสงครามหลายปีสิ้นสุดลง ในกัมพูชาเต็มไปด้วยวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด คาดว่ามีทุ่นระเบิดประมาณ 6 ล้านลูกฝังอยู่ในกัมพูชา แต่ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ง่าย เนื่องจากขาดบันทึกที่เชื่อถือได้ (ทหารที่วางทุ่นระเบิดเหล่านี้มักไม่ได้บันทึกตาแหน่งไว้)
กัมพูชาจึงมีอัตราการพิการทางร่างกายสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 มีทุ่นระเบิดทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ 65,000 คน ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก (6)
การลอบวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชาในฝั่งไทยจึงเป็นการกระทำที่โหดร้าย สมควรถูกประนามจากนานาชาติและถูกลงโทษในทางใดทางหนึ่ง ทั้งที่พลเมืองของตัวเองเคยผจญกับเคราะห์กรรมจากทุ่นระเบิดมากมายหลังจากสงคราม และประเทศทั้งโลกไม่ยอมรับต่อการใช้ทุ่นระเบิดเพื่อการสังหารบุคคล แต่กัมพูชาก็ไม่เคยนำพาต่อปัญหาดังกล่าว
จากเหตุการณ์การสูญเสียจากการใช้ทุ่นระเบิดในภูมิภาคต่างๆ ตลอดมา หลายประเทศทั่วโลกต่างตระหนักถึงความโหดร้ายจากการใช้ทุ่นระเบิดในการประหัตประหารผู้บริสุทธิ์ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2535 องค์กรพัฒนาเอกชน 6 แห่ง ได้แก่ Handicap International, Medico International, Human Rights Watch, Mines Advisory Group, Vietnam Veterans of America Foundation และ Physicians for Human Rights จึงได้ริเริ่มโครงการรณรงค์ระดับนานาชาติเพื่อห้ามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
ในปี พ.ศ.2536 คณะกรรมการกาชาดสากล และองค์กรพัฒนาเอกชนต่างๆ ได้จัดการประชุมหลายครั้งเพื่อพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดและเพื่อพัฒนากลยุทธ์สำหรับการรณรงค์ระดับนานาชาติที่จะนำไปสู่การห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ประเทศเบลเยียมเป็นประเทศแรกที่ผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการใช้ การผลิต การได้มา การขาย และการโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ต่อมาประเทศในยุโรปอีกหลายประเทศได้ดำเนินการตาม และทำลายทุ่นระเบิดที่สะสมไว้ เช่นเดียวกับฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ แคนาดาได้ประกาศระงับการใช้ การผลิต การค้า และการส่งออกทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเดือนมกราคม พ.ศ.2539
หลังจากนั้นการประชุมระดับนานาชาติเพื่อขับเคลื่อนการห้ามใช้ทุ่นระเบิดเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้ คณะผู้แทนแคนาดาจึงตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งผู้นำเสียเอง และประกาศว่าจะมีการประชุมอีกครั้ง และในที่สุดได้จัดการประชุมขึ้นที่เมืองออตตาวาประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 3-5 ตุลาคม พ.ศ.2539
การประชุมนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “การประชุมกลยุทธ์ระหว่างประเทศ: สู่การห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั่วโลก” (International Strategy Conference: Towards a Global Ban on Anti-Personnel Mines) แต่โดยทั่วไปจะเรียกว่า “การประชุมปี พ.ศ.2539” หรือ “การประชุมออตตาวาครั้งแรก” (The 1996 Conference หรือ The first Ottawa Conference) โดยมีประเทศที่เข้าร่วม 50 ประเทศ ผู้สังเกตการณ์ 24 คน และองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมาก แม้ว่าจะไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการใดๆ ออกมาจากการประชุมครั้งนี้ แต่ก็ได้กกหนดกรอบทั่วไปสำหรับ “กระบวนการออตตาวา” ซึ่งท้ายที่สุดนำไปสู่ข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และกลายเป็น “อนุสัญญาออตตาวา (Ottawa treaty)” เต็มรูปแบบ (7)
อนุสัญญาออตตาวา หรือ อนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิตและโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ.1997 หรือที่เรียกกันอย่างไม่เป็นทางการว่า “อนุสัญญาออตตาวา” เป็น อนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือมักเรียกสั้นๆ ว่า อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด มีเป้าหมายเพื่อขจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 165 ประเทศทั่วโลกที่เป็นภาคีของอนุสัญญาออตตาวา
โดยประเทศไทยและกัมพูชาเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมลงนาม และให้สัตยาบันในอนุสัญญานี้ตั้งแต่ปี 1997 และมีผลบังคับใช้กับไทยเมื่อปี 1999 และกัมพูชาในปี 2000 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะยุติความทุกข์ทรมานและการสูญเสียชีวิตจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยลงนาม เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2540 ให้สัตยาบัน วันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 และมีผลบังคับใช้ วันที่ 1 มีนาคม 2542 ทั้งนี้ รัฐบาลไทย ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (ศทช.) เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งไทยเก็บกู้ทุ่นระเบิดในประเทศไปแล้วกว่า ร้อยละ 99 และทำลายทุ่นระเบิดที่มีอยู่ในคลังแสง (stockpile) ทั้งหมดแล้ว ซึ่งหมายความว่าระเบิดที่วางไว้ตามพื้นที่ชายแดนฝั่งไทยที่ทหารไทยได้เข้าไปเหยียบนั้น ไม่มีทางเป็นของไทยแน่นอน
อนุสัญญาออตตาวา มีพันธกรณีสาคัญดังนี้(8)
1. ไม่ใช้ พัฒนา ผลิต และสะสม จัดเก็บ และโอนทุ่นระเบิดสังหารบุคคลไปให้ผู้ใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม
2. ทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่เก็บสะสมไว้ในคลังทั้งหมดภายใน 4 ปี หลังจากอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้
3. เก็บกู้และทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝังอยู่ในพื้นพื้นดินภายใน 10 ปี หลังจากอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้
4. ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทั้งทางการแพทย์ การฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ การฝึกและการพัฒนาศักยภาพ การจัดหาอาชีพ เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคม
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายและวิธีป้องกันภัยจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Mine Risk Education-MRE)
บทลงโทษ หากไม่ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ
อนุสัญญาออตตาวาไม่มีบทลงโทษทางเศรษฐกิจหรือการใช้กำลังโดยตรง แต่แรงกดดันจากประชาคมโลกคือกลไกสำคัญ เป็นต้นว่า(8)
- อาจถูกประณามอย่างรุนแรงจากนานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ เช่น องค์กรสากลรณรงค์เพื่อยุติกับระเบิด (International Campaign to Ban Landmines : ICBL) และองค์กรทางสังคมอื่นๆ
- เสียชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ ส่งผลต่อความสัมพันธ์และภาพลักษณ์ของประเทศนั้นๆ
- ขาดความร่วมมือ โดยเฉพาะในภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
อย่างไรก็ตาม หลังทหารไทยกลายเป็นเหยื่อทุ่นระเบิดของกัมพูชาครั้งแล้วครั้งเล่า ยังไม่ปรากฎผลใดๆในทางปฏิบัติต่อการลงโทษทางสังคมข้างต้นต่อกัมพูชา จะเป็นด้วยว่าประเทศที่มีอำนาจของโลกไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง หรือสาเหตุอื่นก็ตาม ต่างจากกรณีของสแกมเมอร์ที่มหาอำนาจของโลกเรียงหน้าออกมาปกป้องประชาชนของตนเอง และใช้มาตรการคว่าบาตรกัมพูชาอย่างจริงจัง เพราะตัวเองได้รับผลกระทบโดยตรง
@@ เก้าอี้หัก (Broken chair) : ศิลปะต่อต้านทุ่นระเบิด

หากใครไป กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และผ่านไปบริเวณสานักงานองค์การสหประชาชาติ กรุงเจนีวา ที่เรียกว่า Palais des Nations จะมองเห็นงานศิลปะรูปแปลกตาตั้งอยู่ตรงทางเข้าองค์การสหประชาชาติ ชิ้นงานดังกล่าวเป็นเก้าอี้ขนาดใหญ่มาก แต่เก้าอี้ตัวนั้นมีเพียงสามขา ซึ่งแสดงถึงความไม่สมบูรณ์ของเก้าอี้
เปรียบได้กับการสูญเสียขาซึ่งเป็นอวัยวะสาคัญของมนุษย์ จากการถูกทeลายด้วยทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ประเทศเกือบทั้งโลกต่อต้านการใช้อาวุธประเภทนี้
หลังจากอนุสัญญาออตตาวาได้รับการลงนามและมีผลบังคับใช้ในปี 2540 องค์การพัฒนาเอกชนที่ชื่อ “องค์กรเพื่อคนพิการนานาชาติ( Handicap International)” ซึ่งเป็นหนึ่งใน 6 องค์กรที่ริเริ่มโครงการรณรงค์ระดับนานาชาติเพื่อห้ามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจนประสบความสาเร็จ ได้มอบหมายให้ประติมากรชาวสวิส ชื่อ เดเนียล เบอร์เซ็ท (Daniel Berset) สร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้น เป็นเก้าอี้ทำด้วยไม้หลายชิ้น มีความสูง 12 เมตร น้ำหนัก 5.5 ตัน
ใครที่ผ่านสานักงานองค์การสหประชาชาติจะมองเห็นได้ชัดเจน หรือหากใครเดินเข้าไปด้านในองค์การสหประชาชาติ จะต้องเดินผ่านปฏิมากรรมชิ้นนี้

เก้าอี้สามขาถูกนำมาตั้งไว้ที่องค์การสหประชาชาติแห่งนี้ในปี 2540 ปีเดียวกับที่อนุสัญญาออตตาวามีผลบังคับใช้ เพื่อเตือนใจผู้คนถึงผลกระทบอันน่าสะพรึงกลัวของทุ่นระเบิดที่ทำให้เกิดการสูญเสียขาของมนุษย์
เก้าอี้สามขาจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการทำลายล้างด้วยอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวอย่างทุ่นระเบิด และเตือนใจมนุษย์ในยุคหลังต้องอย่าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีอนุสัญญาห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล มีการรณรงค์จากองค์กรต่างๆ เพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิด รวมทั้งมีปฏิมากรรมเก้าอี้หัก เพื่อเตือนใจผู้คนถึงความโหดร้ายของทุ่นระเบิด แต่การใช้ทุ่นระเบิดในการลอบทำร้ายยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
การสูญเสียขาของทหารไทยจึงเป็นเครื่องยืนยันอย่างชัดเจนว่า นอกจากสนธิสัญญาออตตาวา ภายใต้องค์การสหประชาชาติไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และการลงนามในแถลงการณ์ร่วมที่มาเลเซียไร้ผลใดๆ ในทางปฏิบัติแล้ว ยังไม่เห็นองค์กรหรือประเทศใดมีความจริงใจร่วมประณามหรือให้ความใส่ใจต่อเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดของกัมพูชาอย่างจริงจัง นอกจากฉวยโอกาสใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
-------------------
อ้างอิง
(1) https://www.mfa.go.th/th/content/statement-incident-three-thai-soldiers-th?cate=5d5bcb4e15e39c306000683b
(2) https://www.ditp.go.th/post/gu4wg6fgoj6569kfoqpj5hbb
(3) https://www.projectmasam.com/eng/planted-to-kill-a-brief-history-of-landmines/
(4) https://reliefweb.int/report/world/landmine-monitor-2016
(5) https://www.the-monitor.org/online-reader/landmine-monitor-2024?anchor=Preface-137159
(6) https://thecanadianencyclopedia.ca/en/article/ottawa-treaty
(7) https://thecanadianencyclopedia.ca/en/article/ottawa-treaty
(8) https://www.senate.go.th/view/386/News/SenateMagazine/349/TH-TH
