
ปัญหากัมพูชา กลายเป็นปัญหาความมั่นคงที่กระทบกับไทยในทุกมิติ ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ สังคม ข้อมูลข่าวสาร (เฟคนิวส์) ความเห็นต่างขัดแย้งกันเองภายใน ไปจนถึงภูมิรัฐศาสตร์ เชื่อมโยงกับมหาอำนาจ
ปัญหานี้หนักหน่วงและดึงความสนใจของผู้คนไปจากปัญหาไฟใต้ หรือ ความขัดแย้งและความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 22
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงและการต่างประเทศชื่อดัง เคยเตือนและส่งสัญญาณถึงปัญหากัมพูชาเอาไว้ว่า หากเราไม่มียุทธศาสตร์ที่เป็น “ทางออก” ที่ดีพอ ซึ่งเรียกว่า “Exit Strategy” ปัญหานี้จะกลายเป็นปัญหายืดเยื้อ และขยายตัวเป็น “พหุภาคี” ซึ่งจะยิ่งมีความซับซ้อน และหาทางออกจากปัญหาได้ยากขึ้น
ประเด็นความยืดเยื้อ มีตัวอย่างที่ปรากฏมาแล้วสำหรับประเทศไทย คือ “ปัญหาไฟใต้” จะเห็นได้ว่าถึงวันนี้ไม่มีใครเชื่ออีกแล้วว่า การเปลี่ยนรัฐบาล จะทำให้ไฟใต้ดับได้จริง
และบทบาทของเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ซึ่งเราสถาปนาให้เป็น “ผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุยสันติสุข” ก็ดูจะมีความซับซ้อนและแสวงประโยชน์จากปัญหานี้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
นี่จึงเป็นที่มาของ “เสียงเตือน” อีกครั้งจากอาจารย์สุรชาติ ซึ่งเป็นการเตือนปัญหาภาคใต้ และสะเทือนถึงปัญหากัมพูชา
@@ ข้อคิดปัญหาภาคใต้
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ก้าวเข้าสู่ปีที่ 22 อย่างไม่เชื่อ และเป็นปัญหาความมั่นคงที่ท้าทายรัฐบาลอนุทิน ไม่แตกต่างจากปัญหากัมพูชา
ดังนั้นจะขอทดลองนำเสนอข้อสังเกตถึงรัฐบาล ดังต่อไปนี้
1) คงต้องยอมรับว่า ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายกับทุกนายกรัฐมนตรี และทุกรัฐบาลไม่แตกต่างกัน
2) การจะแก้ปัญหาภาคใต้ จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ และนายกฯจะต้องเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ ไม่ใช่การออกยุทธศาสตร์โดยหน่วยราชการ (จนบัดนี้ เรายังรอ “ยุทธศาสตร์ สมช.” ที่มีการพูดถึงในรัฐบาลที่แล้ว)
3) ความคาดหวังในรอบ 22 ปีคือ ยุทธศาสตร์จะต้องถูกออกแบบเพื่อให้เกิดเอกภาพและการบูรณาการในการทำงาน เพราะงานภาคใต้เป็นงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยราชการ และนายกฯ จะต้องแสดงบทบาทนำ
4) ยุทธศาสตร์นี้จะต้องช่วยตอบปัญหาพื้นฐานของการแก้ปัญหาบางประการ เช่น ข้อเสนอ สมช. จะยกเลิกกฎหมายพิเศษหรือไม่ จะยกเลิกตั้งด่านและจุดตรวจหรือไม่ หรือจะรับหรือไม่รับเอกสาร JCPP
5) ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน จชต. มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐบาล นายกฯ ควรหาเวลาและโอกาสในการทำความเข้าใจในเรื่องภาคใต้ (ไม่ต่างจากปัญหากัมพูชา)
6) ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของดินแดน และอธิปไตยแห่งดินแดนโดยตรง เพราะ BRN เรียกร้องการแบ่งแยกดินแดน มีนัยมากกว่าดินแดนที่เป็นข้อถกเถียงในบริบทของปัญหากัมพูชา (น่าสนใจว่า ฝ่ายขวาจัดไทยไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ต่างจากปัญหากัมพูชา)
7) นายกฯ ควรต้องคุยกับผู้นำมาเลเซีย เพื่อหาทางยุติปัญหา แต่ต้องคุยด้วยการมีความเข้าใจในเงื่อนไขและสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
8) รัฐบาลอาจจำเป็นต้องตั้งคณะผู้เจรจาฯ ด้วยเงื่อนไขการเมืองบางประการ แต่ต้องไม่คาดหวังว่า การเจรจาจะนำไปสู่การยุติปัญหาอย่างรวดเร็ว เพราะ BRN ในปัจจุบันยังมีศักยภาพในการก่อเหตุร้าย
9) การตั้งคณะผู้เจรจาฯ จะต้องไม่ใช่เงื่อนไขที่รัฐบาลไทยจะต้องยอมรับเอกสาร JCPP ที่ทำขึ้นโดยการผลักดันของ NGO ตะวันตกที่เยอรมนีและสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของ BRN และนายกฯควรประกาศท่าทีที่ชัดเจนที่จะไม่รับเอกสารนี้
10) สถานการณ์ความรุนแรงใน จชต. ในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นจากการก่อเหตุของ BRN ทั้งที่ในผ่านมาสถิติความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง และรัฐบาลจะต้องเตรียมการในเรื่อง “การสับเปลี่ยนกำลัง” ที่อส. จากกระทรวงมหาดไทยจะเข้ารับหน้าที่แทนทหารในปี 2570
11) จากลักษณะการก่อเหตุ เห็นได้ชัดว่ามุ่งกระทำกับพื้นที่ของเมือง ที่เป็นทั้งพื้นที่ทางเศรษฐกิจ และแหล่งชุมชน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น “การก่อการร้ายในเมือง” (Urban Terrorism) จึงต้องสร้างระบบ “ป้องกัน” เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่พื้นที่ที่กำหนดขึ้น
12) BRN ใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือบีบรัฐบาลไทย เพื่อให้เกิดการเจรจาเพราะเชื่อว่า ฝ่ายตนมีความได้เปรียบทางการเมือง อันเป็นผลจากปัจจัย 4 ประการ คือ การเคลื่อนไหวทางการเมือง, การมีเสรีของปฏิบัติการทางทหาร, การสร้างแนวร่วมในเวทีสังคมภายใน และการสนับสนุนจาก NGO และองค์กรภายนอก
13) ความได้เปรียบทางทหารของ BRN ที่สำคัญคือ การมีพื้นที่หลบซ่อนนอกเขตชายแดนไทย ดังนั้น เรื่องของ “การควบคุมชายแดน” (Border Control) จึงเป็นประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะทางด้านนราธิวาส
14) การหาสมาชิกของ BRN ผ่าน “การบ่มเพาะความรุนแรง” เป็นประเด็นสำคัญที่จะต้องแก้ไข เพราะกระบวนการนี้คือ การนำเอาเยาวชนเข้าสู่ “วงจรความรุนแรง” และช่วยในการขยายสมาชิกของกลุ่ม
15) รัฐบาลอาจจะต้องกล้าแสดงออกในการใช้กฎหมายเพื่อควบคุมการสนับสนุนของชาวต่างชาติ หรือควบคุมบทบาทแนวร่วมบางส่วนที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการสนับสนุนต่อองค์กรก่อการร้าย BRN
/// ท้ายบท ///
ดังได้กล่าวแล้วว่า ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้มีความ “ยุ่งยากและซับซ้อน” กว่าปัญหากัมพูชามาก และท้าทายมากกว่าด้วย การกำหนด “ยุทธศาสตร์เพื่อเอาชนะ BRN” จึงเป็นวาระที่สำคัญเสมอของคนที่เป็นนายกฯ
เพราะความรุนแรงปีนี้ย่างสู่ปีที่ 22 แล้ว และยังมีแนวโน้มของการเป็น “สงครามยืดเยื้อ” ต่อไปในอนาคต
