
วันก่อน “เสธ.แมว” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช. และอดีตหัวหน้าคณะพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้คนแรกที่เปิดโต๊ะคุยกับ BRN เสนอโมเดล “สร้างพื้นที่ปลอดภัย” สกัดไฟใต้ลามออกนอกสามจังหวัด
เป็นการนำเสนอแนวคิด ในลักษณะตำหนิรัฐบาลที่ไม่คิดอ่านแก้ไขปัญหาอะไร ได้แต่แก้ตัวว่าเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายทะเลอันดามัน ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศนั้น ไม่เกี่ยวกับไฟใต้ขยายวงจากปลายด้ามขวาน
ทั้งๆ ที่หากย้อนเหตุการณ์ในอดีต มีกลุ่มกองกำลังจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแบบเดียวกับที่ใช้ในพื้นที่ปลายด้ามขวาน หลุดลอดออกมาก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดต่างๆ รวมถึงกรุงเทพฯ มากกว่า 10 ครั้งแล้ว
หนักสุดคือระเบิดป่วนกรุงกว่า 10 จุดเมื่อปี 62 วางแม้กระทั่งหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคารศูนย์ราชการ หน้ากองบัญชาการกองทัพไทย ฯลฯ
และคาร์บอมบ์ในลานจอดรถห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล ที่เกาะสมุย เมื่อปี 58 รวมถึงเจอรถคาร์บอมบ์ที่ไม่ระเบิดกลางภูเก็ต ปี 56
แนวคิดของ พล.ท.ภราดร คือ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยโดยการบูรณาการกันของ พลเรือน ตำรวจ ทหาร และชุมชน โดยใช้เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขเสนอให้ “กลุ่มผู้เห็นต่างฯ” หรือ BRN ร่วมกันทำ เป็นรากฐานก่อนการเจรจาเรื่องอื่นๆ
อ่านประกอบ : เจาะโมเดล “เสธ.แมว” สร้างพื้นที่ปลอดภัย สกัดไฟใต้ลามนอกสามจังหวัด
เมื่อ “ทีมข่าวอิศรา” รายงานข่าวนี้ ปรากฏว่า ดร.ซาช่า เฮลบาร์ธ นักวิจัยชาวเยอรมนี ซึ่งศึกษาโครงสร้างของ BRN และปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เชิงลึก ได้เขียนบทความและสัมภาษณ์โต้แย้ง ในหัวข้อ…
“ความคิดเห็นเกี่ยวกับเขตปลอดภัยที่นำโดยชุมชน (CLSZ: community-led safety zone) ในการเจรจาสันติภาพภาคใต้ของประเทศไทย”
ดร.ซาช่า ระบุว่า พลเอกอักษรา เน้นย้ำถึงการจัดตั้งเขตปลอดภัยที่นำโดยชุมชน (CLSZ) ในฐานะกลไกสำคัญของกระบวนการสันติภาพในภาคใต้ของประเทศไทย
(พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนที่ 2 ต่อจาก พล.ท.ภราดร ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย พล.อ.อักษรา เป็นเพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 14 รุ่นเดียวกับ พล.ท.ภราดร หรือ เสธ.แมว : ข้อมูลเสริมจากทีมข่าวอิศรา)
แต่แม้ว่าการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับรากหญ้าจะมีความสำคัญต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะยาวของภาคใต้ แนวทางนี้ยังมีความท้าทายหลายประการในช่วงเวลานี้ ได้แก่
1. มองข้ามบทบาทของ BRN: แนวทางนี้ไม่ได้คำนึงถึงบทบาทหลักของ BRN ในฐานะองค์กรลับ และยังมองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่า BRN ไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นที่จัดตั้งการก่อความไม่สงบขึ้นเองโดยอิสระ
2. เสียงของชุมชนถูกกดทับ: ชุมชนท้องถิ่นไม่น่าจะแสดงความคิดเห็นที่แท้จริงและหลากหลายของตนได้ เนื่องจากกลัวผลกระทบจากทั้งเครือข่ายเงาของ BRN และรัฐบาลไทย บุคคลที่คัดค้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่างก็รู้สึกว่าตนเองถูกคุกคามโดยตรง ด้วยเหตุนี้ ชุมชนต่างๆ จึงถูกแยกออกจากกระบวนการสันติภาพ
3. ขาดประสบการณ์และข้อผิดพลาด: ประเทศไทยมีประสบการณ์ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพน้อยมาก โดยเฉพาะในหมู่ผู้นำทางการเมืองและข้าราชการรุ่นปัจจุบัน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไม่เพียงแต่รัฐล้มเหลวในการเข้าใจ BRN อย่างถ่องแท้ แต่การเจรจาสันติภาพยังไม่คืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ และมักมุ่งเน้นไปที่ผู้นำกลุ่มก่อความไม่สงบที่ไม่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมที่แข็งกร้าวบางกลุ่มว่า ประเทศไทยกำลังสูญเสียอธิปไตยของตนเอง โดยอนุญาตให้ NGO ระหว่างประเทศและเยอรมนี/สวิตเซอร์แลนด์เข้ามามีบทบาทหลักในการกำหนดรูปแบบการเจรจาสันติภาพ
แม้ประเด็นนี้จะถกเถียงกันได้ แต่พวกเขาก็วิพากษ์วิจารณ์อย่างถูกต้องว่า ผู้เจรจาไทยได้ให้คำมั่นสัญญาที่สำคัญ เช่น JCPP โดยที่ไม่เคยพูดคุยกับผู้นำตัวจริงของ BRN ซึ่งในขณะนี้ปฏิเสธที่จะเจรจาเพราะเชื่อว่าตนเองจะชนะ
นอกจากนี้ ยังอาจโต้แย้งได้ว่าการเจรจาสันติภาพไม่ได้ผสานกับยุทธศาสตร์การต่อต้านการก่อความไม่สงบอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจทำให้กลุ่มก่อความไม่สงบได้เปรียบอย่างมีนัยสำคัญบนโต๊ะเจรจา
4. ไม่เคยมีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ใดๆ เลยที่ใช้ CLSZ เป็นหลักการในการบรรลุสันติภาพ ในทางตรงกันข้าม ความพยายามในการจัดตั้ง CLSZ ล้มเหลวในภาคใต้ของประเทศไทยในอดีต
5. CLSZ มีโอกาสสูงที่จะเป็นเป้าหมายการโจมตีของ BRN เนื่องจากยังไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกในการต่อต้าน “รัฐเงา” ของ BRN ทำให้ BRN ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และจะมุ่งมาโจมตี CLSZ เป็น “sitting duck” (เป้านิ่ง หรือ กลุ่มเปราะบาง)
ดังนั้น ในบริบทนี้การเรียกร้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมกลับยิ่งเพิ่มความซับซ้อนให้กับกระบวนการสันติภาพโดยไม่จำเป็น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นภาระเกินกำลังของประเทศไทย
// ข้อเสนอแนะ: แนวทางเป็นขั้นตอน //
1. ระยะปัจจุบัน: ดำเนินการเจรจาลับโดยมุ่งเน้นไปที่ผู้นำตัวจริงของ BRN เพื่อยุติความรุนแรง (negative peace) การเจรจานี้ต้องผสานกับนโยบายต่อต้านการก่อความไม่สงบโดยสันติ (realist peace talk approach + peaceful COIN)
2. หลังยุติความรุนแรง: จัดเวทีปรึกษาหารือสาธารณะกับชุมชนท้องถิ่นเพื่อหารือและดำเนินการปฏิรูปทางการเมืองในภาคใต้ (positive peace)
