แม้ภารกิจการลงพื้นที่ชายแดนใต้ของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นเลยแม้แต่เหตุการณ์เดียวก็ตาม แต่ก็ยังมีการสร้างความปั่นป่วนเล็กๆ ซึ่งส่งผลทางจิตวิทยาในวงกว้าง โดยที่ฝ่ายผู้กระทำแทบไม่ต้องลงทุนเลย
นั่นก็คือการแห่แชร์ใบปลิว “ภาพนายกฯ – เตือนอย่าเข้าใกล้” ซึ่งมีการโพสต์เผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ว่า ถูกพบในชุมชนตลาดเก่า อำเภอเมืองยะลา ซึ่งนายกฯแพทองธารมีกำหนดการไปเยี่ยมโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาชื่อดังลำดับต้นๆ ของพื้นที่
ปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า มีเพจเฟซบุ๊กของกลุ่มแนวร่วมหลายเพจ พร้อมใจกันโพสต์และแชร์ภาพใบปลิวที่มีรูปของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมข้อความในใบปลิวว่า “ขอให้ทุกคนตีตัวออกห่างจากบุคคลคนนี้ รวมทั้งคณะรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญ ฝากบอกปากต่อปากเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน”
ทั้งยังได้มีการเขียนข้อความบรรยายในลักษณะที่อ้างเป็นรายงานของเจ้าหน้าที่ว่า เช้านี้พบใบปลิวพื้นที่ เมืองยะลาหลายจุด ประกอบด้วย บริเวณมัสยิดกลางยะลา,ปากซอย 5 ตลาดเก่า และชุมชนจารู อ.เมือง จ.ยะลา โดยสถานที่ที่ถูกระบุล้วนแต่เป็นพื้นที่ชุมชนรอบๆ โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ซึ่งเป็นจุดที่นายกฯแพทองธารจะไปเยือนทั้งสิ้น
หลังจากปรากฏภาพในสื่อโซเชียลฯ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วยทั้งทหารและตำรวจได้เร่งตรวจสอบ เพื่อหาใบปลิวตามที่มีการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ก็ไม่พบใบปลิวจริงแต่อย่างใด ทว่าภาพในโซเชียลฯ กลับถูกแชร์ไปอย่างกว้างขวาง แม้แต่ในหมู่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐเองก็ยังแชร์ ทำให้ประชาชนทั่วไป และผู้ที่ติดตามข่าวสารจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่ามีการโปรยใบปลิวสร้างความปั่นป่วนช่วงที่นายกฯลงพื้นที่จริงๆ ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
“ทีมข่าวอิศรา” สอบถามไปยัง พ.อ.เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) และ พ.ต.อ.ศุภกร พึ่งรศ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (รอง ผบก.ภ.จว.ยะลา) ได้ข้อมูลตรงกันว่าไม่พบใบปลิวในพื้นที่จริงแต่เป็นแค่การพบเห็นในโซเชียลมีเดียเท่านั้น
ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ให้ข้อมูลว่า เรื่องนี้เป็นการทำไอโอ หรือ ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารโดยกลุ่มแนวร่วม เนื่องจากเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์บริเวณตลาดเก่าและจุดที่อ้างว่าพบใบปลิวมา 3 วันแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
“จากการตรวจสอบเชิงลึกในพื้นที่ ทั้งมวลชนและผู้นำศาสนา ยืนยันว่าไม่มีใบปลิว แต่เป็นการปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารของฝ่ายตรงข้ามที่พยายามจะสร้างความปั่นป่วนให้กระทบต่อความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ประกอบกับบริเวณที่อ้างว่าพบใบปลิว อยู่ใกล้โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จึงมีผลกระทบต่อจิตวิทยามวลชนในวงกว้าง” เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ระบุ
จากการเข้าไปตรวจเพิ่มเติมในเพจเฟซบุ๊กที่เป็นไอโอของกลุ่มแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ยังพบว่า มีบางเพจเฟซบุ๊ก อย่างเพจที่ใช้ชื่อว่า “Patani news agency” นอกจากโพสต์อ้างว่าพบใบปลิวดังกล่าวแล้ว ยังได้โพสต์ภาพข่าวเหตุการณ์ที่อ้างว่า เป็นเหตุการณ์ที่อุสตาซรายหนึ่งของโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ จ.ยะลา ถูกทหารยิงเสียชีวิตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และไม่เคยมีคำขอโทษจากผู้นำของประเทศไทยเลย โดยโพสต์ข้อความดังกล่าวได้ถูกแชร์ไปเป็นจำนวนมาก
@@ แฉเคยปั่นเฟกนิวส์ระเบิดส่งท้ายปีเก่า 2564
อนึ่ง วิธีการลักษณะนี้ กลุ่มก่อความไม่สงบเคยทำมาแล้ว โดยเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.64 ก่อนจะขึ้นปีใหม่ 2565 มีการจัดกิจกรรมใหญ่ในพื้นที่ เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกิจกรรมเคาท์ดาวน์ ที่ จ.ยะลา ปรากฏว่า คนร้ายได้ลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าหลายจุดในเขต อ.เมืองยะลา และ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ทำให้เสาไฟฟ้าหักโค่น และไฟดับเป็นบริเวณกว้าง สร้างความตื่นตระหนกและเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
จริงๆ แล้วเหตุการณ์ลอบวางระเบิดไม่ได้รุนแรงมาก และไฟฟ้าก็ดับไม่นานนัก แต่คนร้ายได้ทำ “เฟกนิวส์” หรือ “ข่าวปลอม” โดยตัดต่อภาพจอ “ทีวีเนชั่น” ว่ามีเหตุระเบิดเกิดขึ้นหลายสิบจุด ในหลายพื้นที่ของ จ.ยะลา ซึ่งเป็นข่าวเก่าหลายปีมาแล้ว และไม่ได้เกิดช่วงวันส่งท้ายปีเก่า แต่นำมาส่งต่อในสื่อสังคมออนไลน์ในคืนเกิดเหตุส่งท้ายปีเก่า ปี 2564 ก่อนขึ้นปีใหม่ปี 2565 เพื่อกระพือข่าวและสร้างผลกระทบทางจิตวิทยาว่า ในพื้นที่มีเหตุร้ายแรง ซึ่งเป็นข่าวเกินจริง
อ่านประกอบ : เปิด 5 จุดประสงค์กลุ่มป่วนใต้ก่อเหตุส่งท้ายปี
@@ ถอด 4 บทเรียน “งับเหยื่อข่าวปลอม”
อาจารย์พันธ์ศักดิ์ อาภาขจร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์จากการเผยแพร่ “มีมภาพนายกฯ” ทำให้เห็นทั้งจุดอ่อนและความสำเร็จของปฏิบัติการครั้งนี้อย่างน้อยที่สุด 4 ประการ ได้แก่
1.หากผู้แชร์ภาพเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงด้วยจริงๆ แสดงให้เห็นว่าผู้แชร์ภาพงับเหยื่อ fake news จากฝ่ายตรงข้ามในทันทีโดยขาดการไตร่ตรอง และแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของฝ่ายความมั่นคงที่ยังไม่สามารถรับมือกับ fake news ได้ จนกลายเป็นเครื่องมือให้ฝ่ายตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว
2.แสดงให้เห็นว่าฝ่ายก่อความไม่สงบสามารถใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่ออย่างได้ผล ด้วยการยืมมือฝ่ายความมั่นคงและแนวร่วมที่รับข่าวสารโดยไม่ต้องเสี่ยงไปโปรยใบปลิวเอง
3.แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของ fake news ที่สามารถเผยแพร่ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวางยิ่งกว่าความจริง
4.แสดงให้เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามประสบความสำเร็จในการสร้างมีมเพื่อประโยชน์ฝ่ายตัวเองด้วยโซเชียมีเดีย และการขับเคลื่อนของผู้รับข่าวสารและเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความสำเร็จในระดับที่ถือว่าไม่ธรรมดา หากมีการแชร์ หรือ retweet จนกลายเป็นไวรัล เพราะโดยทั่วไปโอกาสที่คอนเทนต์ที่เผยแพร่ออกไป (tweet) จะถูกส่งต่อ (retweet) มากกว่า 1,000 ครั้งนั้น แค่ 1 ใน แสนของจำนวนการ tweet เท่านั้นเอง