ตรวจประวัติรถ “คาร์บอมบ์” ไม่มีแจ้งหาย เจ้าของอยู่สุพรรณฯ แม่ทัพสงสัยใช้ “รถเต็นท์” แก้ลำเจ้าหน้าที่สกัดเข้มข้น เชื่อตอบโต้ยุทธการบ้านคลองช้าง
ความคืบหน้าเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณถนนทางเข้าท่าเทียบเรือปัตตานี ภายในพื้นที่ตลาดสะพานปลา และริมรั้วข้างกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี ท้องที่บ้านยูโย หมู่ 8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี เมื่อช่วงบ่ายของวันศุกร์ที่ 9 ส.ค.67 นั้น
เหตุระเบิดรอบนี้เกิดขึ้นทั้งหมด 3 จุดด้วยกัน
จุดที่ 1 เวลาประมาณ 13.05 น. เกิดระเบิดขึ้นบริเวณถังขยะริมถนนทางเข้าท่าเทียบเรือปัตตานี ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะบรรจุและระบบการจุดระเบิด โดยคนร้ายนำมาซุกเอาไว้บริเวณถังขยะ ก่อนเกิดระเบิดขึ้น
จุดที่ 2 เวลาประมาณ 13.10 น. เกิดระเบิดบริเวณเกาะกลางถนน ทางเข้าท่าเทียบเรือปัตตานี ห่างจากจุดแรกประมาณ 200 เมตร ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่องไม่ทราบภาชนะบรรจุและระบบการจุดระเบิด โดยคนร้ายนำไปซุกไว้บริเวณเกาะกลางถนน คาดว่าเป็นระเบิดชนิดเดียวกับลูกแรก
จุดที่ 3 เวลา 13.49 น. ทอดห่างจากสองเหตุแรกนานพอสมควร เกิดระเบิด “คาร์บอมบ์” ริมถนนทางเข้าท่าเทียบเรือปัตตานี ติดกำแพงกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี
จากการตรวจสอบพบว่า ก่อนเกิดเหตุคนร้ายได้นำรถยนต์ที่ติดตั้งระเบิดเป็น “คาร์บอมบ์” ขับไปจอดอำพรางลักษณะตั้งสิ่งของในกระบะ คล้ายรถเตรียมขายของบนถนนริมกำแพงกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี จากนั้นได้ทำการจุดระเบิดขึ้น
ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ ซีซีทีวี บริเวณจุดเกิดเหตุและจุดใกล้เคียงเพื่อติดตามหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุอย่างเร่งด่วน
@@ รถคาร์บอมบ์ไม่ได้แจ้งหาย - เจ้าของอยู่สุพรรณฯ
จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมของเจ้าหน้าที่พบว่า รถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ เป็นรถกระบะ ยี่ห้อนิสสัน รุ่น นาวาร่า สีเทา ป้ายทะเบียน ผน 2788 สงขลา สถานภาพปกติ ไม่ได้แจ้งหาย
ทราบชื่อผู้ครอบครองแล้ว เป็นชายอายุ 26 ปี ภูมิลำเนาตามบัตรประชาชนอยู่ที่ ต.องครักษ์ อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ด้านเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เชื่อว่า การก่อเหตุระเบิดของคนร้าย มุ่งหวังสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ เพื่อเป็นการตอบโต้ยุทธการบ้านคลองช้าง ในพื้นที่ ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 27 ก.ค.- 1 ส.ค.67 ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้วิสามัญฆาตกรรมสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงถึง 3 ราย
@@ ผบช.ภ.9 เผยสังเกตุเห็นก่อน ลดความเสียหายคาร์บอมบ์สำเร็จ
พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พล.ต.ไพศาล หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า และ พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 เดินทางเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ และระเบิดจุดอื่นอีก 2 จุด ซึ่งอยู่บนถนนสายเดียวกัน
จากการตรวจพื้นที่โดยรอบ พบว่าแรงระเบิดจากคาร์บอมบ์ ทำให้กระจกแฟลตที่พักของข้าราชการตำรวจซึ่งอยู่ในละแวกใกล้เคียงแตกร้าย และมีข้าวของได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ที่พักอาศัยอยู่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงระเบิด แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต
ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทำการปิดกั้นพื้นที่เข้า-ออก เพื่อความปลอดภัย พร้อมสั่งการให้ตำรวจในพื้นที่อยู่ในที่ตั้ง เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีก
พล.ต.ท.ปิยะวัฒน์ กล่าวว่า หลังเกิดระเบิด 2 จุดแรก เจ้าหน้าที่ได้สังเกตุเห็นรถกระบะจอดติดกับกำแพงของแฟลตตำรวจ และกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี โดยในกระบะท้ายมีกล่องโฟมวางอยู่อย่างผิดสังเกต จึงได้ปิดกั้นพื้นที่ไว้ก่อน ซึ่งต่อมาได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นเป็นลูกที่ 3 จึงไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บรุนแรง
@@ แม่ทัพแฉมุกใหม่กลุ่มป่วนใต้ ใช้ ”รถเต็นท์“ ทำคาร์บอมบ์
ด้านแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกภาคส่วนช่วยเฝ้าระวังพื้นที่โดยรอบ ตรวจสอบการเข้าออกอย่างเข้มข้น โดยพฤติกรรมของผู้ก่อเหตุมุ่งเป้ากระทำต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนรถที่นำมาใช้ก่อเหตุไม่ใช่รถที่มีประวัติสูญหาย ถือเป็นผลพวงมาจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าระวังและเข้มงวดมาตลอด ซึ่งช่วงหลังที่ผ่านมา คนร้ายใช้รถที่เช่าซื้อมาจากเต็นท์รถต่างๆ เพื่อนำมาก่อเหตุ เชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าหน้าที่จะสามารถขยายผล ติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีได้ทั้งหมด
"ผมได้เน้นย้ำมานานมากแล้วว่า รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่มีการหายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นให้ทุกหน่วยเฝ้าระวัง ซึ่งเราเฝ้าระวังมาตลอดเลย จะสังเกตุได้ว่า ในช่วง 3 -4 เคสหลังจะไม่ใช้รถที่สูญหาย เนื่องจากว่าเจ้าหน้าที่เข้มงวดมาก ซึ่งผมเข้มงวดว่า รถที่หายยังไม่ต้องไปดูสี ดูทะเบียนรถ ให้ดูรุ่นยี่ห้อเท่านั้นก็ตรวจได้หมด แต่หลังๆ นี้มักจะไปเช่าซื้อรถมาจากเต็นท์ต่างๆ เป็นรถที่หลุดจำนำบ้าง เป็นรถที่ไปจำนำไว้บ้าง แล้วก็เอามาก่อเหตุ ซึ่งตรงนี้เราต้องมีมาตรการในการตรวจสอบดูว่ารถคันนี้ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ผมมองว่าไม่เกินขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะหา เพราะเดี๋ยวเราก็รู้ว่ารถคันนี้มาจากไหนไปไหนก็คงขยายไปถึงต้นตอได้"
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ สร้างความเสียหายและกระทบต่อพี่น้องประชาชนเป็นอย่างมาก เพราะพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ เป็นพื้นที่ชุมชนที่พี่น้องประชาชนอยู่อาศัยและทำมาหากินอยู่ ส่งผลให้พี่น้องประชาชนต้องขาดรายได้ เป็นการซ้ำเติมความยากลำบากของพี่น้องประชาชน และกระทบต่อเศรษฐกิจในพื้นที่” แม่ทัพภาคที่ 4 ระบุ