จากกระแสเรียกร้องให้เปลี่ยนตัวผู้ท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ในฟากฝั่งของพรรคเดโมแครต จากประธานาธิบดี โจ ไบเดน เป็นบุคคลอื่น
โดยเฉพาะหลังประสบกับความล้มเหลวในการดีเบตรอบแรกกับ โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และตัวแทนจากรีพับลิกันนั้น
อาจารย์กฤษฎา บุญเรือง นักวิชาการอิสระ จากแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา วิเคราะห์ความเป็นไปได้เอาไว้ 4 ฉากทัศน์ เรียงลำดับความเป็นไปได้จากมากไปหาน้อย
1.ประธานาธิบดีไบเดนยืนยันที่จะเป็นตัวแทนของพรรคเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 ต่อไป
โดยเหตุผลคือ
-เคยชนะทรัมป์มาแล้ว ตนเป็นคนเดียวที่ชนะทรัมป์ และจะชนะอีก
-อายุไม่เป็นอุปสรรค จะใช้หลักฐานการแพทย์พิสูจน์ว่าตนเองมีสุขภาพสมบูรณ์
-ประสบการณ์เป็นสิ่งที่จำเป็นใน สถานการณ์โลกปัจจุบัน
-สิ่งผิดพลาดจากการโต้วาทีครั้งแรก เมื่อ 27 มิ.ย. เป็นเพียง “การพลาดครั้งเดียว”
-เวลาเหลือเกือบ 4 เดือน โอกาสแก้ตัวมีอีกหลายครั้ง จะออกสื่อและโซเชียลมีเดียบ่อยครั้ง รวมทั้งการโต้วาทีครั้งที่ 2 ในวันที่ 10 ก.ย.
-ทีมหาเสียงระดมเงินบริจาคได้ตามเป้า 1,500 ล้านเหรียญอย่างแน่นอน หากผู้อื่นเข้ามาแทนอาจพลาดเป้า
-ได้ข้อพิสูจน์ว่าหลังจากการโต้วาที ตนออกไปหาเสียงทันทีหลายแห่ง และการให้สัมภาษณ์กับสื่อใหญ่ ABC News ในวันที่ 5 ก.ค. แสดงถึงความปกติ ของสุขภาพและการสนทนา
**แต่ประเด็นสุดท้ายนี้ผู้สังเกตการณ์ส่วนใหญ่เห็นว่ายังไม่เรียกความเชื่อมั่นกลับมาคืนมา และไม่แสดงถึงพลังงานกระปรี้กระเปร่าเช่นเดียวกับการหาเสียงเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
สรุปคือฉากทัศน์นี้มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดเพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของไบเดน โดย ณ วันนี้ยังยืนยันว่า “ไม่มีใครจะหยุดยั้งผมได้นอกจากพระเจ้า”
2.กมลา แฮร์ริส ผู้ถูกดันขึ้นมาเป็นตัวแทนสืบทอดบารมีไบเดน
-หากไบเดนประกาศวางมือ แฮร์ริสจะแสดงความพร้อมเป็นผู้นำของพรรคทันที เพียงแต่ขณะนี้ต้องแสดงความภักดีต่อไบเดน 100%
-ทีมไบเดนจะเทน้ำหนักและโอนเงินบริจาค และใช้อิทธิพลละมุนของทำเนียบขาวอวยให้กับรองประธานาธิบดี เพื่อให้มีความชัดเจนและได้เปรียบผู้อื่น
-แฮร์ริสทำงานเข้าขากับไบเดนมาตลอด ไม่แสดงความเด่นเกินหน้า และนำนโยบายสำคัญหลายอย่างไปสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ทั่วสหรัฐ รวมทั้งเป็นตัวแทนไปปฎิบัติหน้าที่แทนประธานาธิบดีในต่างประเทศหลายครั้ง
-การเลือกแฮร์ริสเป็นมารยาทการเมืองที่ปลอดภัยที่สุด
-บุคลากรและทรัพยากรในการหาเสียงของทีมไบเดนจะนำมาปรับปรุงได้อย่างรวดเร็ว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเอกลักษณ์ของแฮร์ริสทีหลัง โดยเฉพาะช่วงการประชุมใหญ่ของพรรคที่จะเลือกตัวแทนเป็นทางการในวันที่ 19-22 ส.ค. ที่ชิคาโก
-คะแนนนิยมของแฮร์ริสขณะนี้ยังไม่สามารถเอาชนะทรัมป์ได้ จึงคงหวังว่าบรรยากาศจะเปลี่ยนไปและความนิยมอาจจะกระเตื้องขึ้นมาทันเวลา
-หากพรรคเดโมแครตตัดสินใจไปเลือกผู้อื่น “ซึ่งไม่ใช่สตรีผิวดำ” ก็อาจเกิดกระแสต่อต้านจากชาวอเมริกันผิวดำหรือสตรีบางกลุ่มได้ สองกลุ่มนี้สำคัญมากต่อชัยชนะทุกครั้งที่ผ่านมา
โพลขณะนี้แฮร์ริสตามทรัมป์ 2% (43:45%) แต่เมื่อเทียบกับไบเดน ตามทรัมป์ 6% (43:49%)
3.ดาวรุ่งหน้าใหม่เข้ามาเป็นรองประธานาธิบดีของแฮร์ริส หรืออาจจะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเอง
-ผู้ได้รับความนิยมสูงในพรรคจะตัดสินใจลงชิงหลังจากไบเดนประกาศวางมือ หมายถึงจะต้องแข่งขันกับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสโดยเร็ว หรือรอจังหวะให้แฮร์ริสพลาด
วันนี้แทบทุกคนที่รออยู่ต้องแสดงมารยาท ไม่ล้ำเส้น ไม่แสดงความวอกแวกจากการสนับสนุนไบเดน และไม่ท้าทายแฮร์ริส
กลุ่มนี้คาดว่าจะเป็นผู้ว่าการรัฐ California, Michigan, Kentucky, North Carolina, Illinois หรือรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลปัจจุบัน เช่น คมนาคมและพาณิชย์ หรือนักการเมืองในสภาที่ “เคยมีประสบการณ์หาเสียงระดับชาติมาแล้ว”
ประสบการณ์ในระดับชาติสำคัญมาก เพราะการมีความนิยมและมีศักยภาพในปัจจุบันอาจจะล้มเหลวเมื่อเข้าสู่สนามการเลือกตั้งระดับชาติ
ยกตัวอย่าง ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาเป็นตัวเก็งของรีพับลิกัน แต่เมื่อลงแข่งสนามจริงในระดับชาติก็แพ้ทรัมป์ในรอบแรก เมื่อไม่นานมานี้
-ที่น่าสนใจมากคือ เสียงเรียกร้องหนาหูให้อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง มิเชล โอบาม่า ลงแข่ง เนื่องจากโพลแทบทุกสำนัก รวมทั้งรอยเตอร์สแสดงคะแนนนิยมสูงมากเมื่อเทียบกับทรัมป์ในอัตราส่วน 50% ต่อ 39% โดยเฉลี่ย แต่เจ้าตัวยังไม่เคยแสดงท่าทีเปิดเผยว่ามีความสนใจอย่างจริงจัง
4.เหตุการณ์พิเศษทำให้เงื่อนไขเปลี่ยน หรือเกิดภาวะฉุกเฉินทำให้ต้องเลื่อนการเลือกตั้ง
-หากรีพับลิกันจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวแทนโดยสุดวิสัย “เมื่อไม่ใช่ทรัมป์ ทางเดโมแครตก็ต้องปรับยุทธศาสตร์”
-วิกฤติภูมิรัฐศาสตร์ของโลกก่อนการเลือกตั้ง เช่น หากเกิดสงครามใหญ่ รวมทั้งสงครามไซเบอร์ รัฐบาลชุดปัจจุบันก็สามารถยกเลิกการเลือกตั้งได้ เพราะต้องทำหน้าที่เป็นรัฐบาลในภาวะสงคราม
-ผู้ท้าชิงอิสระหรือทางเลือกที่สามในปัจจุบัน เช่น โรเบิร์ต เคนเนดี้ หรือม้ามืดคนอื่นที่อาจมีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะกดดันให้ผู้ชิงของเดโมแครตและรีพับลิกันต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์
---------------------------------
ภาพประกอบบทความจาก Live CNN