กรณีเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนหาย แม้จะตามกลับคืนมาได้ แต่น้ำมันของกลาง 300,000 ลิตรก็ถูกดูดไปเกือบหมด ถือเป็นปฏิบัติการที่เรียกว่า “ตบหน้า” สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า การปล่อยให้เรือบรรทุกน้ำมันของกลางหาย ก็ร้ายแรงพอแล้ว เพราะเรือเดินทะเลลำใหญ่ ไม่ได้มีขนาดเล็กเท่ามอเตอร์ไซค์ จะได้ขี่ไปซุกที่ไหนก็ได้
ทว่าต่อมายังมี “ไลน์หลุด” ของบุคคลที่น่าเชื่อว่าเป็นตำรวจ พูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องกับเครือข่ายน้ำมันเถื่อน ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้ง “เสี่ย จ.” นายใหญ่ หรือ “นายเล็ก” พ่อบ้าน
จากการตรวจสอบเชิงลึกพบว่า ชื่อบุคคลที่คาดว่าเป็นตำรวจใน “ไลน์หลุด” นั้น ประกอบด้วย
ผู้กำกับ น. เป็นตำรวจยศ พันตำรวจเอก สังกัด “ตำรวจน้ำ”
อีก 2 คนที่คาดว่าเป็นตำรวจ ชื่อย่อ “ญ.หญิง” กับ “ส.เสือ” มีข้อมูลยืนยันว่า 1 ใน 2 เป็น “ตำรวจน้ำ” เหมือนกัน
วงในทราบกันดีว่า “ตำรวจน้ำ” บางส่วน มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ “เจ้าพ่อน้ำมันเถื่อน” รายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย อาจจะเคยตามจับกันจนรู้มือ รู้หน้า หรืออาจจะเคยอวยพรปีใหม่ ให้ของขวัญวันเกิดกันจนสนิทชิดเชื้อก็เป็นได้
@@ ย้อนปูม “ส่วยตำรวจน้ำ 12 ล้าน - ตำรวจเรือหลักแสน”
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2557 มีการเปิดโปง “บัญชีส่วยน้ำมันเถื่อน” มีการระบุชื่อ ยศ ตำแหน่ง และตัวเลขเม็ดเงินกันอย่างชัดแจ้ง เรียกว่า “ข้อมูลจ่ายรายการ”
ชื่อผู้รับรายการสูงสุด ถึง 12 ล้านบาท คือ นายตำรวจระดับสูงสังกัด “ตำรวจน้ำ” ในขณะนั้น มีการระบุวัน-เวลา และเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่จ่ายเงินให้อย่างชัดเจน
นอกจากนั้นยังมีการจ่ายโดยระบุหน่วยงาน “ตำรวจน้ำ” อีกหลายครั้ง หลายยอด เช่น 1 ล้านบาท 5 ล้านบาท 6 ล้านบาท
และยังมีค่ารายการของ “ตำรวจเรือ” มีระบุชื่อเรือด้วย รวมถึงหน่วยงานรัฐบังคับใช้กฎหมายอีกหลายหน่วย
เหตุนี้จึงไม่แปลกที่จะมีตำรวจบางคนแชทคุยกับคนในเครือข่ายน้ำมันเถื่อนอย่างสนิทสนม แนะนำข้อมูลเรื่องต่างๆ โดยหมิ่นเหม่ทั้งกฎหมายและจริยธรรมอย่างยิ่ง
@@ เรือหาย - น้ำมันถูกดูดอื้อ - เร่งมือเปลี่ยนสีเรือ
ย้อนดูความเป็นมาของเรื่องอื้อฉาวว่าด้วย “เรือของกลางหาย”
แม้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามเรือน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำ คือ เรือกำไลเงิน เรือเจพี และเรือดาวรุ่ง ที่หายไปจากจุดจอดเรือหน้าสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อมกับน้ำมันเถื่อนกว่า 300,000 ลิตร และลูกเรือ กลับมาได้
โดยเจอเรือทั้ง 3 ลำอยู่กลางทะเลในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เขตเศรษฐกิจพิเศษจำเพาะ 3 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา และเวียดนาม จึงมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปประกบเพื่อนำเรือทั้ง 3 ลำกลับมายังสถานีตำรวจน้ำ กองกำกับการ 7 จ.สงขลา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 17 มิ.ย.67
แต่ก็ได้กลับมาเฉพาะเรือ ส่วนน้ำมันของกลางโดนดูดออกไปเกือบหมด
จากการตรวจสอบเรือทั้ง 3 ลำ หลังเข้าฝั่งที่ท่าเทียบเรือกองกำกับการ 7 ตำรวจน้ำ จ.สงขลา พบว่า เหลือลูกเรือทั้งหมดเพียง 8 คน จาก 15 คนที่หายไปพร้อมเรือ
และ “เรือกำไลเงิน” มีร่องรอยการพยายามแปลงสภาพ ทาสีเรือใหม่จากสีแดงเป็นสีเขียว แต่ยังทาไม่เสร็จทั้งหมด
ส่วน “เรือดาวรุ่ง” เครื่องยนต์เสียหาย ที่สำคัญน้ำมันเถื่อนของกลางภายในเรือหายไป เหลืออยู่ในปริมาณไม่มาก
เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจสอบเรืออย่างละเอียด เพื่อเก็บพยานหลักฐานบนเรือ หาลายนิ้วมือและเก็บดีเอ็นเอของลูกเรือทั้ง 8 คน เพื่อหาว่ามีบุคคลอื่นนอกเหนือจากลูกเรืออยู่บนเรือระหว่างนำเรือหลบหนีหรือไม่
ช่วงค่ำของวันที่ 18 มิ.ย.เจ้าหน้าที่ได้นำตัวลูกเรือทั้ง 8 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาลักเรือน้ำมันเถื่อนของกลาง ขึ้นเครื่องบินเดินทางมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อสอบปากคำและส่งตัวฝากขังต่อศาล
@@ โยง “เสี่ย จ.” เจ้าเก่า - เปิดตัว “นายเล็ก” พ่อบ้าน
กรณีเรือน้ำมันเถื่อนของกลางหายจากจุดจอดเรือตำรวจน้ำสัตหีบครั้งนี้ ผลการสอบปากคำลูกเรือหลายคน ปรากฏว่าให้การที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และข้อมูลทางการสืบสวนบ่งชี้ว่า มีการวางแผนล่วงหน้าในการก่อเหตุ
ส่วนผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นผู้บงการนั้น แนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เชื่อว่า ตัวการสำคัญของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และเป็นนายทุนเจ้าของเรือน้ำมันเถื่อนของกลางที่สูญหาย ก็คือ “เสี่ย จ.” พ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่คนเดิมนั่นเอง
โดยทุกขั้นตอน มีข้อมูลค่อนข้างชัดว่า “เสี่ย จ.” เป็นผู้สั่งการผ่าน “นายเล็ก” ซึ่งเปรียบเสมือนผู้จัดการ หรือ “พ่อบ้าน” คอยบริหารจัดการเรือน้ำมันเถื่อนที่อยู่ในเครือข่าย คล้ายสั่งการลงมาเป็นทอดๆ
และ “นายเล็ก” คนนี้ ก็เป็นคนที่บงการให้ลูกเรือขโมยเรือหลบหนีออกจากจุดจอดเรือตำรวจน้ำสัตหีบ ซึ่งเป็นข้อมูลจากคำให้การของกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นลูกเรือซึ่งถูกจับกุม
ส่วนลูกเรือที่หายไปจากเรือ 7 ราย มีข้อมูลว่า หลังจากที่เรือนำน้ำมันไปขายให้กับเรือลำหนึ่ง ขณะจอดที่กัมพูชา มีลูกเรือบางส่วนได้ขึ้นเรือลำนั้นไป ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาเจอเรือทั้ง 3 ลำกับลูกเรือที่เหลือ 8 คน
@@ เปิดพฤติการณ์ “นายเล็ก” มือหิ้วเงินประกันลูกเรือ
สอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของ “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ที่ได้กล่าวยืนยันว่า “นายเล็ก” มีตัวตนจริง เป็นผู้จัดการส่วนตัวของ “เสี่ย จ.” และเป็นคนไทย เนื่องจากช่วงที่มีการจับกุมเรือเมื่อกลางเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่า “นายเล็ก” ได้พยายามเข้าหาเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธไม่ยินยอม
จากการตรวจสอบคำให้การและทางเทคนิค เชื่อว่า “นายเล็ก” มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์เรือหายในครั้งนี้ และ “นายเล็ก” เป็นเจ้าของเงินที่ใช้ประกันตัวลูกเรือทั้ง 28 คน ซึ่งน่าจะได้รับคำสั่งจาก “เสี่ย จ.” มาอีกทอดหนึ่ง
@@ ย้อนอดีต “เรือขนเงิน” สะท้อนธุรกิจเถื่อนสุดอู้ฟู่
ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนของ “เสี่ย จ.” เป็นธุรกิจที่ทำเงินมหาศาลและขนเงินสดใส่เรือกันเป็นร้อยล้านบาท
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2556 ตำรวจกองปราบเคยตามจับ "แก๊งปล้นเรือขนเงิน" ของบริษัทในเครือของ “เสี่ย จ.” ซึ่งบรรทุกเงินถึง 119 ล้านบาท เหตุเกิดในทะเลอ่าวไทย ใกล้กับเกาะโลซิน เกาะเล็กที่สุดของประเทศไทยในพื้นที่ต่อเนื่องระหว่าง จ.สงขลา กับ จ.ปัตตานี จนเป็นข่าวครึกโครมมาแล้ว
แน่นอนเมื่อธุรกิจน้ำมันเถื่อนสร้างเม็ดเงินมหาศาล ก็ย่อมมีบุคคลจำนวนมาก เข้าไปเกี่ยวข้องในการรับผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ ไม่เว้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นผู้รักษากฎหมาย
ทั้งตัว “เสี่ย จ.” ก็ถือเป็นผู้อิทธิพลเจ้าของธุรกิจที่พร้อมจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อเปิดทางหรืออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจของตนเองมาโดยตลอด
@@ นายกฯแฉสั่งการผ่านโทรศัพท์ดาวเทียม
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน นิ่งเฉยไม่ได้
หลังเกิดเรื่องได้สั่งการกำชับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เนื่องจากกรณีที่เกิดขึ้นหลายฝ่ายสงสัยการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากมีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องก็ต้องได้รับการลงโทษ และต้องดำเนินการสาวให้ถึงเจ้าของเรือหรือผู้บงการ
“เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่พอสมควร ตามที่ฟังข่าวอยู่ชายแดน ไม่ได้อยู่ในประเทศ และมีการสั่งการผ่านโทรศัพท์ดาวเทียม”