แม้จะยังไม่มีการแถลงอย่างเป็นทางการจากกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง หรือ บช.ก.ว่า เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน 3 ลำที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งๆ ที่อยู่ในความดูแลของตำรวจน้ำ เป็นของ ”เสี่ยโจ้ ปัตตานี“ จริงหรือไม่
แต่ข่าวและข้อมูลต่างๆ สะพัดไปไกลแล้ว โดยเฉพาะความเชื่อมโยงกับ ”เสี่ยโจ้คนดัง“ ที่เคยตกเป็นข่าวครึกโครมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
และเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ความจริงใจของตำรวจไทย ว่ายังคงเป็นที่พึ่งหวังของประชาชนได้หรือไม่ เมื่อต้องเผชิญหน้าหรือทำคดีของ ”ผู้มีอิทธิพล“
จากข่าวที่ออกมา ทำให้สังคมตื่นตัว และย้อนนึกถึงวีรกรรมของ ”เสี่ยโจ้“ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับตัวเขา
”ทีมข่าวอิศรา“ พาไปทำความรู้จักกับนักธุรกิจใหญ่สายเทาของภาคใต้รายนี้...
นายสหชัย เจียรเสริมสิน หรือ “เสี่ยโจ้” นักธุรกิจชื่อดังในภาคใต้ตอนล่าง เดิมเคยทำธุรกิจแพปลา ก่อนจะผันตัวมาทำธุรกิจค้าไม้และแลกเปลี่ยนเงินตรา กระทั่งกลายเป็นผู้อิทธิพลในธุรกิจสีเทา เกี่ยวพันกับขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ของประเทศ และยังถูกฝ่ายความมั่นคงเชื่อมโยงว่า เกี่ยวข้องกับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
ระหว่างปี 2546 -2549 เขาเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาค้าหวยใต้ดิน
17 ต.ค.2555 ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร คณะทำงานปราบปรามภัยแทรกซ้อน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจค้นบ้าน และห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ตั้งอยู่เลขที่ 103/49 ถนนนาเกลือ หมู่ 8 ต.บานา อ.เมือง จ.ปัตตานี และสามารถตรวจยึดของกลางที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดได้หลายรายการ อาทิ รถบรรทุก 2 คัน และรถบรรทุกห้องเย็นอีก 2 คันที่ถูกดัดแปลงสำหรับขนน้ำมันเถื่อน รวมถึงเงินสกุลต่างประเทศและเงินไทยอีกประมาณ 23 ล้านบาท
2 พ.ย.2555 “เสี่ยโจ้” เข้ารับทราบข้อกล่าวหาของดีเอสไอ ในฐานความผิดเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษีสรรพากร พร้อมยื่นประกันตัวด้วยเงิน 5 แสนบาท
5 พ.ย.2555 “เสี่ยโจ้” เปิดแถลงข่าวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ชี้แจงว่า กรณี หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ที่ถูกตรวจค้น เจ้าหน้าที่ไม่ได้ยึดของกลางใดๆ เพราะไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย พร้อมปฏิเสธว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการค้าไม้เถื่อนและน้ำมันเถื่อนตามที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งไม่เคยสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
6 ต.ค.2556 เจ้าหน้าที่ บริษัท สหทรัพย์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ธุรกิจในเครือของ “เสี่ยโจ้” ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจว่า เมื่อวันที่ 2 ต.ค.56 เรือขนเงินของบริษัทถูกปล้นบริเวณนอกชายฝั่ง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มีลูกเรืออยู่บนเรือ 8 คน ถูกยิงเสียชีวิตไป 7 คน ที่เหลือ 1 คนก็หายตัวไป ขณะที่เงินสดทั้งสกุลเงินไทยและต่างประเทศเกือบ 120 ล้านบาทสูญหายไป
ต่อมาตำรวจกองปราบตามเงินคืนมาได้ สามารถจับกุมผู้ต้องหา 4 ราย และออกหมายจับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่อีก 4 ราย
17 มิ.ย.2557 ชุดปฏิบัติการปราบปรามภัยแทรกซ้อนต่อความมั่นคง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า บุกตรวจค้น หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ของ “เสี่ยโจ้” อีกรอบหนึ่ง โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก และได้คุมตัวนายสหชัยไปสอบสวนขยายผลในข้อหาเกี่ยวข้องกับความมั่นคง ที่ค่ายอิงคยุทธบริการ ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
19 มิ.ย.2557 ในขณะที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในศูนย์ซักถาม มีรายงานว่า “เสี่ยโจ้” ยอมรับสารภาพว่า ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับน้ำมันจริง แต่อ้างว่าทำในทะเลนอกน่านน้ำไทย ซึ่งหมายถึงในน่านน้ำสากลที่อยู่นอกเหนือการบังคับใช้กฎหมายไทย
26 มิ.ย.2557 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองปัตตานี นำตัว “เสี่ยโจ้” ไปขออำนาจฝากขังจากศาลปัตตานีผลัดแรก แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวตามที่ทนายและญาติได้ยื่นร้องขอ เพราะเคยมีประวัติหลบหนีประกัน
16 ก.ค.2557 ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว “เสี่ยโจ้”
5 ส.ค.2557 เจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน เจ้าหน้าที่สรรพากร และเจ้าหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์ ได้เข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์ที่ หจก.สหทรัพย์ทวีค้าไม้ พบเงินสดและทองแท่งในตู้เซฟ มูลค่านับร้อยล้านบาท
15 ก.ย.2557 เจ้าหน้าที่สรรพากรนำเจ้าหน้าที่กองบังคับคดีจังหวัดปัตตานี ยึดทรัพย์ต่างๆ ของ “เสี่ยโจ้”
9 ต.ค.2557 “เสี่ยโจ้” เดินทางไปขึ้นศาลจังหวัดปัตตานีเพื่อรับฟังคำพิพากษาคดีครอบครองเอกสารตรวจลงตราเข้าเมืองปลอม ศาลสั่งลงโทษจำคุก 1 ปี 9 เดือนโดยไม่รอลงอาญา
แต่หลังจากศาลตัดสินในวันเดียวกันนั้น ระหว่างรอคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ ปรากฏว่า “เสี่ยโจ้” ได้หลบออกจากที่คุมขังของศาล
จากพฤติการณ์ของ “เสี่ยโจ้” ทำให้เขาถูกดำเนินคดีและถูกออกหมายจับฐานหลบหนีจากที่ควบคุมของศาล หมายจับที่ 368/2557 ซึ่งการหลบหนีของ “เสี่ยโจ้” จากที่คุมขังของศาล มีตำรวจยศ ร.ต.ต. ให้ความช่วยเหลือพาหลบหนีด้วย
ต่อมานายตำรวจรายดังกล่าว ถูกสอบสวนและถูกสั่งให้ออกจากราชการ และถูกพิพากษาจำคุก ฐานละเมิดอำนาจศาล และฐานปล่อยให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนี
ในปี 2560 – 2561 มีข่าวลือว่า “เสี่ยโจ้” กลับมาอยู่อาศัยที่บ้านใน จ.ปัตตานี ซึ่งภายหลังก็ปรากฏว่ากลับมาอยู่ที่บ้านจริง จนมีการตั้งคำถามว่า เหตุใด “เสี่ยโจ้” จึงไม่ถูกจำคุก เพราะมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วของศาลให้ลงโทษจำคุกในข้อหาปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอม (หลบหนี ไม่ยื่นอุทธรณ์ตามกำหนด ทำให้คดีถึงที่สุด)
ปรากฏว่าฝ่ายตำรวจได้ออกมาชี้แจงว่า ได้มีการยกเลิกหมายจับ “เสี่ยโจ้” ในปี 2557 ทั้งหมด ซึ่งมีราวๆ 7 หมายจับ เพราะ "เสี่ยโจ้" ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ใน กทม. เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.2560 และ ในวันที่ 10 ก.ย.2561
แต่จากการตรวจสอบของ “ทีมข่าวอิศรา” พบว่า หมายจับที่ 368/2557 ยังไม่ถูกยกเลิก โดยเป็นหมายจับในคดีหลบหนีจากที่ควบคุมของศาล และภายหลังมีการออกหมายจับใหม่ที่ 559/2561 มาแทน และยังไม่อยู่ในสถานะยกเลิกเช่นกัน แต่ฝ่ายตำรวจและฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ไม่ได้อธิบายอะไร และเรื่อง “เสี่ยโจ้” ก็เงียบหายไป
ทั้งยังได้รับการยืนยันข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคงว่า “เสี่ยโจ้” มีหมายจับทั้งหมด 7 หมาย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร, ปลอมแปลงเอกสารราชการ, ความผิดตาม พ.ร.บ.การพนัน ฐานเป็นเจ้ามือหวยเถื่อน, ความผิดฐานค้าน้ำมันเถื่อน และความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน ฐานประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยคดีส่วนใหญ่อยู่ในชั้นสอบสวน มีเพียง "คดีหนีคุก" กับคดีเป็นเจ้ามือหวยเถื่อนเท่านั้นที่อยู่ในชั้นศาล และศาลมีคำพิพากษาแล้ว
จากสถานะหมายจับที่ 559/2561 ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เมื่อตำรวจรับมอบตัว "เสี่ยโจ้" ในคดีต่างๆ หลายคดี และยกเลิกหมายจับไปแล้วหลายหมาย ช่วงปี 2560-2561 เหตุใดพนักงานสอบสวนจึงไม่ควบคุมตัว "เสี่ยโจ้" ส่งศาล เพราะมีหมายจับในคดีเป็นเจ้ามือสลากกินรวบ และคดีใช้ดวงตราประทับไม้ปลอม ซึ่งมีหมายจับอยู่ชัดเจน การกระทำลักษณะนี้เข้าข่ายช่วยเหลือผู้ต้องหา หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีคำชี้แจงใดๆ ทุกอย่างเงียบหายไปกับสายลม รวมทั้งตัว “เสี่ยโจ้” ด้วย
4 พ.ย.2564 ตำรวจสอบสวนกลางจับกุม “เสี่ยโจ้” นายสหชัย เจียรเสริมสิน ได้ที่ร้านอาหารริมทาง ย่านห้วยขวาง โดยเป็นการจับตามหมายจับ “คดีฟอกเงินจากการค้าน้ำมันเถื่อน”
5 พ.ย.2564 ตำรวจสอบสวนกลางเปิดแถลงข่าวใหญ่ ขึ้นภาพ backdrop เป็นหน้า “เสี่ยโจ้” คาดตา แล้วเขียนคำว่า เจ้าพ่อค้าน้ำมันเถื่อน
6 พ.ย.2564 ตำรวจนำตัว “เสี่ยโจ้” ส่งอัยการจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีฟอกเงิน ปรากฏว่าอัยการแจ้งว่า “สั่งไม่ฟ้องไปแล้ว” ไม่มีอำนาจควบคุมตัว จึงต้องปล่อย “เสี่ยโจ้” เป็นอิสระ
วันเดียวกัน ตำรวจชี้แจงว่า ตอนที่จับ “เสี่ยโจ้” มีหมายจับในสารบบเพียงหมายเดียว คือหมายจับคดีฟอกเงิน (ทั้งๆ ที่เสี่ยโจ้มีสิบกว่าคดี) และไม่พบหมายจับในคดีที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้จำคุก “เสี่ยโจ้” เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน ฐานใช้ดวงตราประทับไม้ปลอมในการเคลื่อนย้ายไม้
ตำรวจอ้างว่าตรวจสอบก่อนหน้าการจับกุมแล้วพบว่า ไม่มีหมายจับ จึงพยายามสอบถามทางศาลจังหวัดปัตตานี แต่ศาลตอบอย่างไม่เป็นทางการว่าหาสำเนาหมายจับไม่เจอ
8 พ.ย.2564 ตำรวจบอกว่า ทางศาลปัตตานีเพิ่งส่งสำเนาหมายจับให้ แต่ไม่ทันแล้ว “เสี่ยโจ้” หนีไปจากบ้านตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย.2564
11 พ.ย.2564 สำนักงานศาลยุติธรรมออกแถลงการณ์ชี้แจงว่า ศาลจังหวัดปัตตานีได้พิพากษาจำคุก “เสี่ยโจ้” ตั้งแต่วันที่ 9 ต.ค.2557 แต่ “เสี่ยโจ้” หลบหนี ก็ส่งหมายจับให้ตำรวจในวันนั้นเลย
ต่อมาวันที่ 26 พ.ค.2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ทำให้คดีถึงที่สุด ศาลก็ส่งหมายจับให้ตำรวจอีกหมายหนึ่งในวันเดียวกัน
จากคำแถลงของศาลยุติธรรม ทำให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในขณะนั้น มีคำสั่งให้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 (ผบช.ภ. 9) สอบสวนเรื่องนี้และให้รายงานกลับมาภายใน 3 วัน หากพบใครกระทำผิดกฎหมายหรือวินัยให้จัดการได้ทันที
18 พ.ย.2564 ทางตำรวจมีการแถลงผลสอบสวนสรุปได้ว่า
- คนที่ซุกหมายจับ เป็นพนักงานสอบสวนคนหนึ่ง ไม่ยอมบอกชื่อ
- ได้รับหมายจับจากศาล เพราะไปที่ศาลพอดี
- ได้หมายมาแล้ว เก็บไว้ ลืมนำเข้าสารบบหมายจับ
- เป็นตำรวจมาช่วยราชการ ต่อมาย้ายกลับภูธรภาค 3 แล้ว
- ถ้าจะสอบวินัย เป็นหน้าที่ของภูธรภาค 3
- ย้ำว่ามีคนบกพร่องเพียงคนเดียว คือพนักงานสอบสวนคนที่ว่านี้
ต่อมาสื่อมวลชนบางแขนง รวมทั้ง “ทีมข่าวอิศรา“ เคยสัมภาษณ์นายตำรวจผู้นี้ กลับให้ข้อมูลไปอีกด้านหนึ่ง ยืนยันว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วน ทั้งรับหมายจับและส่งหมายจับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อ
แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่ได้ตรวจสอบเพิ่มเติมใดๆ และเรื่องก็เงียบหายไปอีกครั้ง พร้อมกับตัว ”เสี่ยโจ้“
กระทั่งมาถูกพูดถึงอีกรอบเมื่อเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนของกลาง ซึ่งมีน้ำมันมากถึง 300,000 ลิตรหายไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่ทอดสมออยู่ในความดูแลของตำรวจน้ำของประเทศไทย!!!