มุสลิมชายแดนใต้แห่ดูดวงจันทร์ กำหนดวันที่ 1 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1445 บนยอดเขาบูเก๊ะปาเระ อ.ยะหา แต่ไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์ ตรงกับรายงานจากทั้งประเทศ จุฬาราชมนตรีประกาศเริ่มถือศีลอด 12 มี.ค.
วันอาทิตย์ที่ 10 มี.ค.67 พี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก ร่วมดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ที่ศาลาดูดวงจันทร์ เขาปาเระ (บูเก๊ะปาเระ) อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ตามที่ นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ได้ประกาศให้พี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่วประเทศดูดวงจันทร์เพื่อกำหนดวันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445 เวลาหลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ผลการดูดวงจันทร์ทั้งที่ อำเภอยะหา และทั่วประเทศ ปรากฎว่าไม่มีผู้เห็นดวงจันทร์ ซึ่งแปลว่าวันที่ 1 ของรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ตรงกับวัน ที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2567 โดยสำนักจุฬาราชมนตรีได้ประกาศอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา
สำหรับบรรยากาศการดูดวงจันทร์ที่หอดูดวงจันทร์ บนยอดเขาปาเระ อำเภอยะหา มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และ นายอำพล พงศ์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เดินทางไปเป็นสักขีพยาน ท่ามกลางพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้และใกล้เคียงจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมคึกคักเป็นพิเศษมากกว่าปีอื่นๆ
@@ ของขวัญรอมฎอน ย้าย 34 ผู้ต้องขังคดีมั่นคงกลับชายแดนใต้
ในโอกาสเดือนรอมฎอน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และหัวหน้าพรรคประชาชาติ เผยว่า เรือนจำกลางบางขวาง ได้ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางบางขวาง ในคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 34 คน ไปคุมขังต่อยังเรือนจำกลางจังหวัดสงขลาแล้ว เมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา และเรือนจำกลางจังหวัดสงขลาได้ย้ายผู้ต้องขังจำนวนดังกล่าวกลับไปคุมขังยังเรือนจำในภูมิลำเนาของผู้ต้องขังเอง
โดยย้ายไปที่ เรือนจำกลางจังหวัดปัตตานี จำนวน 4 ราย เรือนจำกลางจังหวัดยะลา จำนวน 3 ราย เรือนจำกลางจังหวัดนราธิวาส จำนวน 7 ราย เมื่อวันที่ 6 มี.ค.67 คงเหลือควบคุมที่เรือนจำกลางจังหวัดสงขลา จำนวน 20 ราย
สำหรับการย้ายผู้ต้องขังคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน 34 คนกลับภูมิลำเนาครั้งนี้ ถือเป็นการมอบของขวัญให้พี่น้องมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วงเดือนรอมฎอน
ขณะเดียวกันตัวแทนกลุ่มผู้ประสานงานครอบครัวผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้กล่าวขอขอบคุณ พ.ต.อ.ทวี ที่ได้มีนโยบายไปยังเรือนจำ และได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ถือเป็นการส่งเสริมและเป็นกำลังใจให้ครอบครัวและผู้ต้องขัง สามารถไปเยี่ยมผู้ต้องขังได้ง่ายขึ้น รวมทั้งเป็นการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังด้วย เนื่องจากภูมิลำเนาในพื้นที่มีสภาพความเป็นอยู่สอดคล้องกับหลักศาสนาและการปฏิบัติศาสนกิจมากกว่า
“ขณะนี้ผู้ต้องขังทุกคนได้กลับไปอยู่ที่เรือนจำตามภูมิลำเนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราถือว่าเป็นของขวัญจากรัฐมนตรียุติธรรม ต้อนรับรอมฎอน และเป็นของขวัญที่ถูกใจพี่น้องทุกคน” ตัวแทนกลุ่มผู้ประสานงานครอบครัวผู้ต้องขังในคดีความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุ