เหตุรุนแรงที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ในค่ำคืนของวันอังคารที่ 6 ก.พ.67 ซึ่งเป็นวันนัดพูดคุยสันติสุขฯวันแรก ร้ายแรงกว่าที่ข่าวออกมาในตอนแรก
แม้วันที่เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเข้าไปตรวจจุดเกิดเหตุ และเก็บหลักฐานจากร่องรอยทั้งหมด ภาพของเหตุการณ์ก็ยังไม่แจ่มชัด
กระทั่งเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานเป็นภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิด หรือ ซีซีทีวี ในละแวกที่เกิดเหตุคนร้ายดักยิง จ.ส.ต.บินหลี เศรษฐสุข ผบ.หมู่ ป. สภ.รือเสาะ ขณะออกจากป้อมยามรักษาการณ์หน้าแฟลตตำรวจรือเสาะ มุ่งหน้ากลับบ้าน สังคมจึงได้เห็นว่าคนร้ายกลุ่มนี้ปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมขนาดไหน
หลักฐานสำคัญชิ้นนี้ได้จากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บนเสาไฟฟ้า ทางเข้าแฟลตที่พักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รือเสาะ สามารถบันทึกภาพพฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายคนเอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
ห้วงเวลาที่คนร้ายก่อเหตุ คือ เวลา 20.30 น. ขณะที่ จ.ส.ต.บินหลี ออกจากการเข้าเวรยามที่ป้อมรักษาการณ์ แฟลตที่พักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รือเสาะ โดยขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกู๊ปปี้ไอ สีดำ ป้ายทะเบียนสงขลา มุ่งหน้ากลับที่พัก
ขณะที่ จ.ส.ต.บินหลี ขี่รถในซอยทางเข้าแฟลตตำรวจ โดยวิ่งเกาะฝั่งซ้ายของซอย ได้ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงถล่มใส่หลายนัด เห็นเป็นแสงไฟจากปากกระบอกปืนถี่ยิบ ทำให้รถจักรยานยนต์ของ จ.ส.ต.บินหลี ล้มตะแคงริมถนน จากนั้นได้มีกลุ่มคนร้ายจำนวน 3 คน เดินถืออาวุธปืนออกมาจากซอย ยิงซ้ำใส่ร่าง จ.ส.ต.บินหลี
โดยคนร้าย 2 คนแรกได้ลากร่างของ จ.ส.ต.บินหลี เข้าไปในซอยที่อยู่ฝั่งขวาของจุดที่รถล้ม แล้วใช้อาวุธปืนยิงซ้ำ ในภาพจะเห็นแสงไฟจากกระบอกอาวุธปืนของคนร้าย
ส่วนคนร้ายคนที่ 3 ที่วิ่งออกมาหลังสุด ได้วิ่งไปก้มเก็บอาวุธปืนประจำกายของ จ.ส.ต.บินหลี ที่ตกอยู่ที่พื้นถนน แล้ววิ่งกลับเข้าไปในซอย และยังมีคนร้ายอีก 2 คนทำหน้าที่ดูต้นทาง
เมื่อคนร้าย 3 คนแรกลงมือก่อเหตุแล้วเสร็จ ทั้งหมดได้พากันหลบหนีไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งแกะรอยคนร้ายกลุ่มนี้ โดยเริ่มต้นจากปากซอยที่เกิดเหตุ เพื่อหาข้อมูลว่า กลุ่มคนร้ายสามารถหลบหนีหลังก่อเหตุไปได้ด้วยวิธีใด โดยการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ตามจุดตรวจบนถนนสายหลักที่มุ่งหน้าออกจากเขตเทศบาลตำบลรือเสาะ เพื่อหาความเชื่อมโยงกับภาพเหตุการณ์วงจรปิดจากที่เกิดเหตุ ซึ่งจะนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานขยายผลติดตามจับกุมต่อไป
@@ ทิ้งใบปลิวรำลึก “แวอาลีคอปเตอร์” ส่งสัญญาณป้ายสีรัฐ
อีกหนึ่งเหตุการณ์ร้ายที่เกิดก่อนพูดคุยสันติสุขฯ เพียง 3 วัน หนำซ้ำยังเกิดในพื้นที่ อ.รือเสาะ เช่นกัน ก็คือเหตุยิง นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงไทยเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังเหตุปล้นปืนครั้งใหญ่เมื่อวันที่ี 4 ม.ค.2547 จนเคยถูกตั้งรางวัลนำจับถึง 1 ล้านบาท โดยต่อมา นายแวอาลีคอปเตอร์ กลับใจ หันหลังให้กลุ่มก่อความไม่สงบ เข้าร่วมโครงการ “พาคนกลับบ้าน” รุ่นแรก เมื่อปี 2555 หรือ 12 ปีก่อน แต่สุดท้ายมาโดนยิงเสียชีวิตคาสวนยางพาราที่บ้านของภรรยา
เหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง สรุปตรงกันว่าเป็นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เพื่อมุ่งเป้าหมาย คือ 1.เร่งสร้างสถานการณ์ช่วงใกล้วันพูดคุยสันติสุขฯ อาจเพื่อส่งสัญญาณกดดัน หรือต่อต้าน หรือประกาศว่ายังมีตัวตน
และ 2.ข่มขู่แนวร่วมและสมาชิกขบวนการไม่ให้กลับใจมาอยู่ฝ่ายรัฐ หลังจากมีข่าวว่าจะมีแนวร่วมกลุ่มใหญ่ถูกส่งกลับจากมาเลเซีย มาเข้าโครงการแนวๆ “พาคนกลับบ้าน” และเข้ากระบวนการตาม มาตรา 21 พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ (พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551) คืออบรมแทนการถูกดำเนินคดีอาญา
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการพยายามปล่อยข่าวว่า การสังหารนายแวอาลีคอปเตอร์ เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐไทยเอง ทั้งๆ ที่ทหารพรานซึ่งดูแลพื้นที่ อ.รือเสาะ สนิทสนมกับผู้ตาย พูดคุยกันเกือบทุกวัน
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวโปรยใบปลิวเกี่ยวกับการตายของ นายแวอาลีคอปเตอร์ ขึ้นมาอีก
โดยขณะที่ พ.ต.ท. สุวิทย์ ทองอนันต์ สารวัตรปราบปราม (สวป.) สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส พร้อมด้วยชุดปฏิบัติการนอกเครื่องแบบงานป้องกันปราบปราม หรือ ชป.เอราวัณ ออกปฏิบัติภารกิจตั้งจุดตรวจจุดสกัด (pop-up) บริเวณถนนสาย 4060 ในพื้นที่บ้านตะโละ หมู่ 2 ต.ซากอ อ.ศรีสาคร ได้พบเห็นกระดาษจำนวนหลายแผ่นวางกระจัดกระจายอยู่ริมถนน จึงได้เข้าไปตรวจสอบ
พบว่าเป็นกระดาษ A4 สีขาว บนกระดาษมีข้อความพิมพ์ว่า “ Kenangkin jasa mu แวอาลีคอปเตอร์ วาจิ ” มีความหมายคือ ด้วยความระลึกถึง นายแวอาลีคอปเตอร์ วาจิ
เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บกระดาษทั้งหมด แล้วนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.ศรีสาคร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งตรวจพิสูจน์หาตัวคนทิ้งใบปลิวต่อไป
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง สันนิษฐานว่า การทิ้งใบปลิวที่มีข้อความรำลึกถึงนายแวอาลีคอปเตอร์ กลุ่มผู้ก่อเหตุมีจุดประสงค์ต้องการให้มวลชนในพื้นที่เข้าใจว่า การเสียชีวิตของนายแวอาลีคอปเตอร์ เป็นการกระทำของ เจ้าหน้าที่รัฐ
ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อสร้างน้ำหนักเรื่องการตาย และเป็นการปฏิบัติทางการเมืองของแกนนำกลุ่มก่อความไม่สงบ เพื่อหวังผลสร้างเงื่อนไขในการพูดคุยสันติสุขฯ