เหตุระเบิดโกดังเก็บพลุ ดอกไม้ไฟ ที่มูโนะ นราธิวาส ต้องบอกว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เงียบผิดสังเกตมาตลอดหลายวัน ทั้งๆ ที่เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติ อนุญาต การเคลื่อนย้าย และประกอบกิจการค้าพลุ ดอกไม้ไฟ ตรวจสอบทั้งยอดสั่งซื้อและส่งขาย
ผ่านเหตุระเบิดมาเกือบ 1 สัปดาห์จึงเพิ่งออกมาชี้แจงเมื่อ “ทีมข่าวอิศรา” เปิดหลักฐานคำสั่ง กอ.รมน. เมื่อปี 2552 ซึ่งยังมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2552 โดยคำชี้แจงมุ่ง “จำกัดวง” ความรับผิดชอบของ ผอ.รมน.ภาค 4 ว่ามีอำนาจตรวจสอบและอนุมัติ อนุญาตแค่การเคลื่อนย้ายพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ เข้ามาในพื้นที่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คือ ท้องที่ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เท่านั้น
ส่วนการเก็บรักษา หรือกักตุนในโกดัง เพื่อรอส่งขาย หรือเจตนาอย่างอื่น เป็นอำนาจหน้าที่ของ “นายทะเบียนท้องที่”
พูดง่ายๆ แต่ กอ.รมน.ไม่ได้พูด คือ งานนี้ที่มีระเบิดโกดัง เจ็บตาย ทรัพย์สินเสียหายกันหนักมากที่มูโนะนั้น กอ.รมน.ไม่เกี่ยว!!
ล่าสุด “คนใน กอ.รมน.ส่วนกลาง” (ไม่เกี่ยวกับในพื้นที่ชายแดนใต้) ขยับให้ข้อมูลใหม่ เหมือนจะเบี่ยงประเด็นจากส่วย จากผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่กำลังแฉกันอยู่ รวมถึงเบี่ยงประเด็นจากความผิดพลาดเรื่องการตรวจสอบ ซึ่งกำลังโยนกันไป-มาว่าเป็นความรับผิดชอบของใครกันแน่
โดยแหล่งข่าวจาก กอ.รมน.ส่วนกลาง ตั้งประเด็นขึ้นมาว่า รูปแบบการระเบิดของโกดังที่มูโนะ ซึ่งทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ ไม่ใช่การระเบิดของพลุ ดอกไม้ไฟ หรือประทัดล็อตใหญ่จำนวนมากธรรมดาๆ เนื่องจากวัตถุไวไฟเหล่านั้น เมื่อระเบิดแล้ว แรงระเบิดจะกระจายออกในทิศทางด้านข้างหรือขึ้นด้านบน
ก่อนหน้านี้มีการข้อสังเกตทำนองว่า โกดังที่เกิดระเบิดอาจเป็นแหล่งกักเก็บน้ำมันเถื่อนด้วยหรือไม่ เพียงแต่มีการเก็บพลุ ดอกไม้ไฟ บังหน้า
แต่แหล่งข่าวจาก กอ.รมน. ยืนยันว่า แรงระเบิดจากน้ำมัน ทิศทางก็จะออกด้านฃ้าง หรือพุ่งขึ้นด้านบนเช่นกัน
ส่วนการระเบิดแล้วเกิดหลุมใหญ่ เหมือนกับการใช้ระเบิดแสวงเครื่อง หรือดินระเบิดจำนวนมาก ทำให้อานุภาพทำลายล้างสูง กระจายทุกทิศทาง จึงมีการตั้งข้อสงสัยว่าโกดังนี้ เก็บแค่พลุ ดอกไม้ไฟ แน่หรือ?
เมื่อมี “ข้อมูลใหม่” ออกมาแบบนี้ ทั้งยังออกมาจากหน่วยงานรัฐที่มีส่วนรับผิดชอบเองด้วย ทำให้ “ทีมข่าวอิศรา” ติดต่อขอพูดคุยกับอดีตเจ้าหน้าที่อีโอดี (ชุดเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด) ซึ่งรับราชการอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มานาน
อดีตอีโอดียอมรับว่า หลุมลึกที่เกิดจากแรงระเบิดมี 2 จุด เป็นไปได้ว่าเกิดจากสารเคมีไวไฟบางอย่างที่มีจำนวนมาก อาจจะเป็นดินประสิวที่ยังไม่ได้ประกอบเป็นพลุ หรือดอกไม้ไฟก็ได้ แต่ต้องเป็นดินประสิวชนิดที่รุนแรงมาก ไวไฟมาก หรือ ดินประสิวที่ยังไม่ได้แปรสภาพเป็นพลุ ก็อาจเป็นวัตถุไวไฟชนิดที่รุนแรงได้เหมือนกัน หากมีจำนวนมากพอ และวางเฉพาะจุดที่เกิดหลุมขนาดใหญ่พอดี คือกองรวมไว้ตรงนั้นก็ดี แบบนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้
แต่คำถามคือ ดินประสิวที่ยังไม่แปลงสภาพเป็นพลุ จะมีการส่งขายในฝั่งมาเลเซียได้ด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าสงสัยเช่นเดียวกัน
สรุปทางอดีตอีโอดี ก็ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นระเบิดที่อาจเชื่อมโยงกับการก่อความไม่สงบตามที่มี "บางคน" พยายามให้ข่าว
ส่วน กอ.รมน.ก็เผอิญมีอำนาจจำกัดจำเขี่ย ตรวจสอบได้ทุกอย่าง ทั้งการเคลื่อนย้าย ยอดสั่งซื้อ ยอดส่งของ ยอดส่งขาย รวมถึงการประกอบกิจการค้าขาย แต่จะเก็บซุกกันที่ไหน...ผมไม่เกี่ยว (ฮ่า-เสียงอุทาน)
@@ ตั้งข้อหาเบาเหมือนปุยนุ่น - ไม่จัดหนักตามคำสั่ง กอ.รมน.
ด้านชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้ติดตามข่าวจาก “ทีมข่าวอิศรา” วิจารณ์กันแซ่ดว่า ตามที่มีรายงานคำสั่ง กอ.รมน. ห้ามครอบครองพลุ ดอกไม้ไฟเกิน 10 ดอกต่อคน ใครครอบครองจำนวนมากกว่านั้น โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก ผอ.รมน.ภาค 4 (แม่ทัพ) หากถูกตรวจสอบพบ หรือถูกจับกุมได้ จะมีความผิดในฐานเดียวกับเป็นผู้ทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
พูดง่ายๆ คือสถานะเดียวกับกลุ่มก่อการร้าย หรือกลุ่มก่อความไม่สงบนั่นเองนั้น
เรื่องนี้ชาวบ้านเขาสงสัยว่า เมื่อดูข้อหาที่ตำรวจแจ้งกับสองสามีภรรยาเจ้าของโกดังพลุระเบิด กลับมีแค่ข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย บาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย รวมทั้งความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดฯ แบบนี้เป็นการช่วยเหลือกันหรือไม่ เพราะข้อหาเบาเหมือนปุยนุ่น แถมอาจสู้คดีได้ว่า ไม่ใช่คนประมาท เพราะไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุอีกด้วย (อ้างเป็นความประมาทของช่างเชื่อมโกดังที่เสียชีวิตไปแล้ว)
“ตั้งแต่วันแรกหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ยังไม่กล้าบอกเลยว่าสามีภรรยาเจ้าของโกดังอยู่มาเลเซีย แต่ให้ข่าวว่าอยู่ต่างจังหวัด เหมือนกับปกป้องกัน แต่ชาวบ้านรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แจ้งข้อกล่าวหาก็เบามาก แบบนี้ช่วยกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทำให้มีเสียงวิจารณ์เรื่องเป็นนอมินีของใครหนักขึ้น เราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่” ชาวบ้านในพื้นที่ตั้งข้อสังเกต
และว่า “ถ้านายู (คนอิสลาม) เป็นเจ้าของโกดัง ป่านนี้โดนแจ้งข้อหาก่อการร้ายแล้ว เพราะในเอกสารคำสั่งของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็บอกชัดว่า ใครที่ครอบครองสิ่งของชนิดนี้ เป็นการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าคนนายูโดนตั้งแต่วันแรกแล้ว”