ประเด็น “ส่วยมูโนะ” ฝ่ายตำรวจ นำโดย “บิ๊กโจ๊ก” ซึ่งลงพื้นที่ล่าสุด ยอมรับกันตรงๆ ว่ามีจริง!
มีการย้ายตำรวจล่วงหน้าไปก่อน 4 นาย เป็น 4 เสือโรงพักมูโนะ และวันที่ 2 ส.ค.66 ย้ายอีก 1 ราย คือ “จ่าฟาโร” ซึ่งก็คือ “จ่า ฟ.” ที่สื่อสังคมออนไลน์กล่าวหาว่าเป็น “พ่อบ้าน-หน้าเสื่อ” เก็บผลประโยชน์ให้ “นายใหญ่ - ผู้ใหญ่” นั่นเอง
แต่ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ
1.เป็นการสั่งย้ายตามสูตร เริ่มจาก 4 เสือ หรือ 5 เสือโรงพัก และนายตำรวจที่ทำหน้าที่ “พ่อบ้าน” เดินเก็บส่งนาย
แต่พอสุดท้าย เรื่องเงียบก็ย้ายกลับที่เดิม หรือย้ายไปที่ใหม่ อาจใหญ่กว่าเก่า...ใช่หรือไม่
2.การสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบกันเองของตำรวจ เป็นการแก้ไขปัญหาจริงหรือไม่ เพราะการเก็บส่วย ไม่ได้เก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่เป็นการ “เก็บส่งนาย” ส่วนจะเป็นนายระดับไหน ต้องอาศัยการตรวจสอบจากหน่วยงานนอกสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือเปล่า
เช่น “คณะกรรมการกลาง” ตามที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ออกมาเสนอ หรือจะเป็นการตั้งคณะกรรมการผสม ให้มีภาคประชาชนเข้าไปร่วมด้วย หรืออาจจะส่งเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบ อย่างเช่น ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท.
แต่เมื่อตำรวจสอบกันเอง จะจบแบบเดิมๆ เหมือนกรณีอื่นๆ หรือไม่ เป็นประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
3.การเก็บส่ง “นาย” หมายถึงใคร
-“นาย” ที่หมายถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไป ซึ่งเป็น “สีเดียวกัน”
-“นาย” ที่หมายถึง “สีอื่นๆ” แล้วสีกากีเป็นตัวกลางช่วยเก็บ แบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ
-“นาย” ที่หมายถึงฝ่ายการเมืองที่มีอิทธิพลในพื้นที่
หรือ...“นาย” ที่หมายถึง “บิ๊กระดับชาติ” ซึ่งรับส่วยจากพื้นที่เป็นทอดๆ ขึ้นไป เนื่องจากไม่ได้มีธุรกิจจำหน่ายพลุ ดอกไม้ไฟ อย่างเดียวที่ต้องจ่ายส่วย
อย่าลืมว่า “ทีมข่าวอิศรา” เพิ่งเปิดประเด็นเรื่อง “ส่วยบุฟเฟต์” จ่ายแบบ “วัน สต๊อป เซอร์วิส” แล้วขนสินค้าผิดกฎหมายได้ทุกรูปแบบ
@@ ไม่ใช่แค่ดอกไม้ไฟ “ธุรกิจสีเทาขยายใหญ่” พรึ่บริมชายแดน
“ทีมข่าวอิศรา” ซึ่งยังฝังตัวอยู่ในพื้นที่บ้านมูโนะ ให้ข้อมูลว่า พื้นที่มูโนะเป็นชุมชนริมชายแดน มีสภาพเป็นตลาด เป็นร้านค้า มีอาคารพาณิชย์ มีโกดังเก็บสินค้า มีลูกค้าจากทั้งสุไหงโก-ลก และฝั่งมาเลเซีย เข้ามาซื้อของ จับจ่าย หรือทำธุรกิจร่วมด้วย
ฉะนั้นชุมชนริมชายแดนลักษณะนี้ (ไม่ใช่เฉพาะมูโนะ แต่รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ในสุไหงโก-ลก และอำเภออื่นๆ ตามแนวชายแดนด้วย) จึงไม่ได้มีธุรกิจเดียว คือ จำหน่ายพลุ ดอกไม้ไฟ แต่ยังมีธุรกิจอื่นๆ แนวๆ “สีเทา” อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
-น้ำมันเถื่อน นำเข้าจากมาเลเซีย เพราะราคาถูกกว่าฝั่งไทย กว่า 1 เท่าตัว
-สินค้าหนีภาษี ตั้งแต่ขนม นม เนย น้ำมันพืช ซึ่งมีราคาถูกกว่าฝั่งไทย
-สินค้าประเภทเสื้อผ้า ผ้าโสร่ง ผ้าอ้อมสำหรับเด็ก ผ้าอนามัยสำหรับผู้สูงอายุ
สินค้าเหล่านี้ถูกส่งเข้ามาพักตามอำเภอริมชายแดน การขนส่งก็ต้องมีการจ่ายส่วย การพักสินค้าไว้รอส่ง รอออร์เดอร์ของลูกค้า ก็ต้องเก็บในโกดัง ต้องจ่ายส่วยเหมือนกัน
@@ ทีมพ่อบ้านเก็บส่วย สั่งปิดร้าน ปิดโกดัง รอเรื่องเงียบ
ล่าสุดเมื่อเกิดเหตุระเบิดที่โกดังเก็บพลุกลางชุมชนตลาดมูโนะ และมีการขุดคุ้ยเรื่อง “ส่วยมูโนะ” ได้มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่แจ้งไปยังผู้ค้ารายต่างๆ ที่จ่ายส่วย (ภาษาพื้นที่เรียก “จ่ายรายการ”) โดยกำชับว่า ช่วงนี้ให้ปิดร้านไปก่อน และห้ามเคลื่อนย้ายสินค้าผิดกฎหมาย หรือสินค้าหนีภาษีทั้งหมด
การแจ้งข่าวครั้งนี้ แจ้งแบบปูพรม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่จ่ายส่วยแบบเบาๆ หรือจ่ายแบบบุฟเฟต์ก็ตาม ทั้งยังห้ามเปิดร้านจำหน่ายสินค้าหนีภาษีในช่วงนี้ด้วย โดยขอให้ปิดไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด ที่สำคัญห้ามขนส่งสินค้าข้ามแดน ทั้งส่งออก และรับเข้า หากถูกจับ จะไม่รับผิดชอบ ไม่รับเคลียร์ใดๆ ทุกกรณี
พ่อค้าในพื้นที่รายหนึ่ง ซึ่งจ่ายส่วยแบบรายเดือน เล่าว่า มีเจ้าหน้าที่โทรมาสั่งให้ปิดร้าน และงดส่งของก่อนในช่วงนี้จริงๆ และยังไม่มีกำหนดให้เปิด สินค้าทุกอย่าง ทุกรายการ ห้ามหมด ถ้ามีการจับขึ้นมาจะไม่รับผิดชอบ เพราะผู้ใหญ่สั่งมา วันนี้จึงไม่ได้ขนสินค้าอะไร ต้องรอให้ผ่านช่วงนี้ไปก่อน
@@ เด้ง “4 เสือมูโนะ” สอบคดีใหม่ หรือย้ายสางแค้นคดีเดิม
เรื่องราวที่ “ทีมข่าว” ตรวจสอบมาทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า เครือข่ายส่วยไม่ได้หยุดทำการ เพียงแต่ชะลอ หรือเก็บตัวชั่วคราว รอให้เรื่องเงียบเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้การสั่งย้ายตำรวจ 4 นาย รวมถึง “จ่าฟาโร” จึงอาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา หรือสะสางธุรกิจสีเทาในพื้นที่เลยแม้แต่น้อย ส่วนคนที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิด สุดท้ายก็อาจตายฟรี ได้แค่เงินเยียวยาจากรัฐเท่านั้นเอง
มีรายงานด้วยว่า คนในพื้นที่พากันโจษขานกันว่า ตำรวจ 4 นายที่ถูกสั่งย้าย บางคนเป็นตำรวจที่ร่วมในปฏิบัติการจับกุมโกดังเก็บพลุ และดอกไม้ไฟ ล็อตใหญ่ 60 ตันในพื้นที่สุไหงโก-ลก เมื่อปี 2559 ซึ่งครั้งนั้น เจ้าของโกดังที่เกิดระเบิดครั้งนี้ ก็ถูกตรวจค้นและยึดของกลางด้วย แต่สุดท้ายอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี
งานนี้จึงมีเสียงวิจารณ์กันว่า เป็นการฉวยโอกาสสั่งย้าย ล้างแค้น เอาคืน ตำรวจที่ปฏิบัติการตรวจค้นและยึดพลุ ดอกไม้ไฟ ล็อตใหญ่ในครั้งนั้นหรือไม่ โดยทำเสมือนหนึ่งว่าลงโทษที่ปล่อยปละละเลย ทำให้โกดังเก็บพลุะระเบิดในครั้งนี้
หากข้อมูลนี้เป็นจริง ย่อมสะท้อนว่า เครือข่ายส่วยที่ว่านี้ อยู่เหนือกฎหมายอย่างชัดเจนที่สุด!!!
---------------------
ขอบคุณกราฟิกบางส่วน จากรายการข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี