กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้จัดทำเอกสารข่าวสรุปเหตุรุนแรงช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน
โดยเหตุการณ์ที่เน้นย้ำเป็นพิเศษคือ เหตุการณ์คนร้ายบุกโจมตีฐานปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ใน อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 14 เม.ย.66 ซึ่งผลการตรวจที่เกิดเหตุ และวัตถุพยานอย่างละเอียด พบข้อมูลสถิติที่น่าตกใจอย่างมาก ว่าปฏิบัติการ 1 ครั้ง คนร้ายใช้กำลังและอาวุธสงครามไม่น้อยเลย
รายงานของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยังอธิบายถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หลังเกิดเหตุ จนสามารถติดตามตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุ และผู้ต้องสงสัย จับกุมได้ 8 คน และยิงปะทะจนเสียชีวิต 1 คน
เมื่อนำอาวุธประจำกายของคนร้ายกลุ่มนี้มาตรวจพิสูจน์ พบว่าถูกปล้นมาจากเจ้าหน้าที่ในหลายเหตุการณ์ และนำไปก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ที่สร้างความสูญเสียมาแล้วหลายครั้ง
รายงานชิ้นนี้สามารถฉายภาพสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างชัดเจน...
“ห้วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้เพิ่มความถี่ในการก่อเหตุ โดยเฉพาะกับฐานปฏิบัติการทหาร ตำรวจ และชุดคุ้มครองตำบล (ชคต.) ที่อยู่ในจุดล่อแหลม ยากต่อการป้องกันตนเอง
โดยเมื่อวันที่ 14 เม.ย.66 เวลา 20.20 น. คนร้ายได้ก่อเหตุใช้อาวุธสงครามลอบยิง และขว้างระเบิดแสวงเครื่องแบบไปป์บอมบ์เข้าใส่ฐานปฏิบัติการ หมวดเฉพาะกิจ หน่วยปฏิบัติการพิเศษนราธิวาส 21 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ บ้านปราลี หมู่ที่ 10 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส โดยใช้เวลาปฏิบัติการประมาณ 20 นาที แต่ความพยายามดังกล่าวไม่เป็นผล เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายในได้ทำการยิงตอบโต้ อีกทั้งผลจากการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและมีการระวังป้องกันเป็นอย่างดี ทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงล่าถอยไป
เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจุดที่คนร้ายใช้เป็นสถานที่ในการโจมตี รวมทั้งเก็บวัตถุพยานเพื่อดำเนินการตรวจสอบ พบว่าในการปฏิบัติ กลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงเข้าใส่ฐานปฏิบัติการอย่างน้อย 10 กระบอก ทั้งปืน M 16, AK 47, AK 102, HK 33, ปืนกลแบบ MINIMI และปืนกล M 60 นับรวมปลอกกระสุนขนาดต่างๆ ได้ 446 ปลอก กระเดื่องลูกระเบิดแสวงเครื่อง 20 ชิ้น และลูกระเบิดที่ไม่ทำงานอีก 3 ลูก ผลจากการตรวจพิสูจน์อาวุธปืนทั้งหมดพบว่า ใช้ก่อเหตุรุนแรงมาแล้วรวม 53 คดี มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ภายหลังเหตุการณ์ พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนหากลุ่มบุคคลที่กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็วที่สุด
จากแนวทางการสืบสวนรวมทั้งแหล่งข่าวในพื้นที่แจ้งว่า หลังก่อเหตุกลุ่มคนร้ายได้แยกย้ายกันหลบหนีไปซ่อนตัวในจังหวัดต่างๆ ทั้ง ยะลา ปัตตานี หรือแม้กระทั่งยังคงหลบซ่อนในพื้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
ต่อมาวันที่ 27 เม.ย.66 หลังจากได้รับข้อมูลแน่ชัด เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบบ้านเช่าในพื้นที่ ต.สะเตง อ.เมือง จ.ยะลา สามารถจับกุมกลุ่มผู้ผู้ก่อเหตุรุนแรงที่หลบหนีมาจาก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้ทั้งสิ้น 7 คน พร้อมตรวจยึดปืนกลมืออูซี่ที่คนร้ายได้มาจากการเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำเมื่อปี 2554 รวมทั้งปืนพกอีก 2 กระบอกที่ได้มาจากการทำร้ายเจ้าหน้าที่ก่อนที่จะแย่งชิงปืนไป พร้อมตรวจพบเครื่องกระสุนและอุปกรณ์ยังชีพในป่าอีกจำนวนหนึ่ง
โดย 4 ใน 7 คนร้ายมีหมายจับรวมกันถึง 6 หมาย ซึ่งล้วนเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับเหตุความมั่นคงและเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ทั้งสิ้น
ต่อมาวันที่ 28 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ได้เข้าบังคับใช้กฎหมายต่อคนร้ายอีก 1 รายที่หลบหนีมาซ่อนตัวในบ้านเช่า ใน ต.ตะลุโบะ อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยเหตุการณ์ดังกล่าวคนร้ายไม่ยอมมอบตัว กลับยิงต่อสู้จนเสียชีวิต ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตรวจยึดปืนพกขนาด .357 พร้อมเครื่องกระสุนชนิดต่างๆ ของคนร้ายได้จำนวนหนึ่ง
จากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายรายนี้เป็นผู้มีหมายจับในคดีความมั่นคงจำนวน 1 หมาย จากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดชุดลาดตระเวน กองร้อยทหารพรานที่ 4406 กรมทหารพรานที่ 44 เมื่อวันที่ 16 ส.ค.59
ส่วนรายล่าสุดเมื่อวันที่ 30 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ได้เข้าบังคับใช้กฎหมาย ในหลังหนึ่ง ท้องที่หมู่ที่ 5 ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ตรวจพบ นายซูกิฟลี ดือราฮิง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีหมายจับในคดีความมั่นคง จำนวน 2 หมาย ตรวจยึดอาวุธปืน AK 102 พร้อมซองกระสุนอีก 4 ซอง
จากการตรวจสอบพบว่าปืนกระบอกดังกล่าว คนร้ายได้มาจากการซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร (อส.) อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ขณะรักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณโรงงาน Hand In Hand หมู่ที่ 5 ต.รือเสาะ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2555 โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นมีเจ้าหน้าที่ อส.เสียชีวิตจำนวน 2 นาย และได้รับบาดเจ็บ 3 นาย”
@@ เผยรวบรายล่าสุด “ซูกีฟลี” ยึดปืนสงครามพร้อมตรา BRN
สำหรับการปิดล้อมจับกุมนายซูกิฟลี ดือราฮิง ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงรายล่าสุดตามรายงานของ กอ.รมน.ภาค 4 สน.นั้น ปฏิบัติการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 14.00 น. วันอาทิตย์ที่ 30 เม.ย.66 พ.อ.สิทธิชัย บำรุงเขต ผู้บังคับหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม จ.นราธิวาส (ผบ.นปพ.ร่วม จ.นราธิวาส) ได้สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตำรวจภูธร จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส จำนวน 50 นาย บังคับใช้กฎหมายที่บ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านยาแลเบาะ หมู่ 5 ต.รือเสาะ หลังได้รับแจ้งจากชาวบ้านมีบุคคลต้องสงสัยเข้ามาอาศัยอยู่
เมื่อถึงบ้านเป้าหมาย เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังกันโอบล้อม พร้อมใช้เครื่องโทรโข่งประกาศให้กลุ่มบุคคลที่อาศัยอยู่ในบ้านออกมาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดยเจ้าหน้าที่ได้เกลี้ยกล่อมว่าจะให้ความเป็นธรรมและรับรองความปลอดภัย เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที มีชาย 1 คน เดินออกจากบ้านเป้าหมาย พร้อมยกมือขึ้นทั้ง 2 ข้างตามที่เจ้าหน้าที่ได้ขอความร่วมมือ ทราบชื่อต่อมาคือ นายซูกิฟลี ดือราฮิง อายุ 30 ปี เป็นชาว ต.รือเสาะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ขอความร่วมมือนำตัวไปตรวจค้นภายในบ้าน พบอาวุธปืน AK 102 จำนวน 1 กระบอก ตั้งพิงอยู่บริเวณฝาผนัง พร้อมซองกระสุนปืน จำนวน 5 ซอง และกระเป๋าคาดเอวสีดำ ที่มีตราสัญลักษณ์ BRN เย็บติดไว้บริเวณด้านหน้า เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไปสอบปากคำ
จากการตรวจสอบประวัติเบื้องต้น พบว่า นายซูกิฟลี เป็นบุคคลที่มีหมายจับคดีความมั่นคง สภ.รือเสาะ 2 หมาย และจากการตรวจสอบอาวุธปืน AK 102 พบว่า เป็นอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่กองอาสารักษาดินแดน (อส.) อ.รือเสาะ ที่ถูกคนร้ายบุกโจมตีโรงงาน HAND IN HAND ที่กองอาสารักษาดินแดนให้การรักษาความปลอดภัยโรงงาน เสียชีวิต 2 นาย ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 6 ม.ค.2555 โดยหลังเกิดเหตุในครั้งนั้น คนร้ายได้ขโมยอาวุธปืนของ อส.หลบหนีไปด้วย
พ.อ.สิทธิชัย บำรุงเขต ผบ.นปพ.ร่วม จ.นราธิวาส ได้ควบคุมตัว นายซูกิฟลี ไปสอบสวนขยายผลที่กองบังคับการกรมทหารพรานที่ 46 อ.เมือง จ.นราธิวาส