“ผมไม่ทราบล่วงหน้าถึงคำสั่งการโยกย้ายตามมติของ ครม.”
เป็นคำเปิดใจครั้งแรกของ พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร หลังถูกเด้งจากเลขาธิการ ศอ.บต. ไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ปกติ พล.ร.ต.สมเกียรติ ให้สัมภาษณ์ไม่บ่อยนัก แม้เผชิญหน้ากับวิกฤติในองค์กรหลายครั้ง โดยเฉพาะประเด็นอื้อฉาวเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล เช่น ข้าราชการระดับ 7 ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด รับสินบนจากผู้รับเหมาโครงการติดตั้งเสาไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ “โซลาร์เซลล์ ชายแดนใต้”
หรืออดีตผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. ซึ่งเป็นดำรงตำแหน่งนายอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ถูกตรวจสอบย้อนหลังเรื่องการออกใบอนุญาตครอบครองปืนให้กับผู้ต้องสงสัยเครือข่ายค้ายารายใหญ่ในโก-ลก แถมภายหลังยังถูกดำเนินคดีข้อหาพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์
ล่าสุดคือข่าวฉาวที่ถูกแฉเกี่ยวกับการ “ล็อกสเปค” สอบคัดเลือกบุคลากรของ ศอ.บต. สมัครสอบพันกว่าคน สอบผ่านข้อเขียนแค่ 5 คน แถมเป็นคนสนิทของ “รอง จ.” ผู้ยิ่งใหญ่ใน ศอ.บต.ทั้งสิ้น
แต่ พล.ร.ต.สมเกียรติ ก็แทบไม่ได้ให้สัมภาษณ์ บางเรื่องออกเป็นเอกสารข่าวชี้แจงเท่านั้น
นี่คือบุคลิกของ พล.ร.ต.สมเกียรติ ฉะนั้นจึงเชื่อว่า คำสัมภาษณ์ยาวๆ หลังถูกปลด ทั้งๆ ที่ใกล้จะเกษียณในอีก 7 เดือนข้างหน้า อาจจะเป็นคำสัมภาษณ์สุดท้าย
พล.ร.ต.สมเกียรติ บอกต่อถึงเหตุผลที่ไม่ทราบมาก่อนถึงคำสั่งย้าย
“เพราะผมเพิ่งเดินทางไปลงนามต่ออายุราชการเมื่อวันที่ 21 ก.พ.66 ที่ผ่านมานี้เอง (ก่อนถูกปลด 7 วัน) เนื่องจากตามวาระอายุราชการแล้ว ผมจะเกษียณในเดือน ก.ย.ปีนี้ และได้ไปลงนามขอต่ออายุราชการเพื่อปฏิบัติงานในพื้นที่ต่ออีก 1 ปี เนื่องจากข้าราชการที่เกษียณตามวาระขอต่ออายุราชการได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี”
อดีตเลขาธิการ ศอ.บต.หมาดๆ บอกว่า แทนที่จะได้ต่ออายุราชการ กลับโดนย้ายเร็วขึ้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจทำงานมาโดยตลอด
“ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ ก็ตั้งใจว่าในชีวิตราชการที่เหลืออยู่จะมีเรื่องเดียวที่ทำให้สำเร็จ คือความสงบและสันติสุขคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ในตำแหน่งใดหรือที่ไหนก็ตาม”
แต่ พล.ร.ต.สมเกียรติ เป็นทหารมาก่อน การโยกย้ายจึงถือเป็นเรื่องปกติ และยึดถือวินัยเป็นสำคัญ ไม่มีแตกแถว วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา
“เมื่อมีคำสั่งออกมาก็น้อมรับและปฏิบัติตามความเห็นชอบของผู้บังคับบัญชา” เจ้าตัวย้ำ
อดีตเลขาธิการ ศอ.บต.เผยถึงความรู้สึกที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ ณ ปลายด้ามขวาน
“หัวใจก็ยังอยู่ภาคใต้ ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ทำงานพบปะมวลชน พี่น้องประชาชน ตั้งแต่เป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินภาคใต้ กองทัพเรือ อยู่นราธิวาส 3 ปี และมาเป็นรองเลขาธิการอีก 2 ปี จนได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการในปัจจุบัน ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว เมื่อเวลามีเท่านี้ก็ถือว่าไม่เสียดายที่ผ่านมา ส่วนอนาคตปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต”
พล.ร.ต.สมเกียรติ ถือว่าเป็นบุคคลหนึ่งที่เป็น “ตัวจริงในภารกิจปลายด้ามขวาน” ผ่านงานมาแล้วทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊”
งานบู๊ก็คืองานต่อสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบด้วยอาวุธ แม้จะไม่ได้ตั้งใจใช้อาวุธ แต่เมื่ออีกฝ่ายใช้ปืนโจมตี ก็ต้องป้องกันตัว และเคยบังคับบัญชาปฏิบัติการรักษาฐานบ้านยือลอ อ.บาเจาะ ยิงตอบโต้กลุ่มก่อความไม่สงบที่ยกพลโจมตีฐาน จนฝ่ายติดอาวุธเสียชีวิตถึง 16 ศพ เมื่อวันที่ 13 ก.พ.56
ส่วนงาน “บุ๋น” ก็คืองานยุทธศาสตร์ งานพัฒนา ซึ่งก็ทำเต็มที่ตั้งแต่รองเลขาธิการ จนก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการ ศอ.บต.
จากประสบการณ์ทั้งสองด้าน ทำให้ พล.ร.ต.สมเกียรติ มองว่า ทุกองคาพยพของชายแดนใต้ล้วนมีความสำคัญต่อสถานการณ์ความไม่สงบและสันติสุข
“ส่วนตัวคิดว่าทุกหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ล้วนมีความสำคัญ เพราะต้องคุ้มครองดูแลปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ได้ ซึ่งปัญหาที่นี่คือการสั่งสมความแค้น ความไม่พอใจในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ 10 มี.ค.2452 เป็นต้นมา ตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐชาติขึ้นมา ทุกขวบปีก็จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระทบความรู้สึก ต้องคลายปมในหัวใจ นอกเหนือจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ ลดความต่าง สิ่งสำคัญคือหัวใจ เพราะนั่นคือเป้าหมายสุดท้ายที่จะอยู่ร่วมกันในแผ่นดิน มันคือความตั้งใจ และเป็นอย่างนี้มาตลอดทุกวัน”
พล.ร.ต.สมเกียรติ บอกด้วยว่า จะไม่ทิ้งงานภาคใต้ แม้จะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเลขาธิการ ศอ.บต.แล้วก็ตาม
“ถ้าหากมีโอกาสทำอะไรก็ตามให้พี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะทิศทางใดก็ยินดี และหากจะทำอะไรสักอย่างในชีวิตนี้ อยากจะประสานหัวใจของพี่น้องประชาชนในแผ่นดินใต้ ให้เขากลับมาอยู่ร่วมกันให้ได้ ไม่ต้องฆ่าฟันกัน เพราะเราต่างก็สูญเสียมาเยอะแล้ว อยากจะใช้หัวใจเรา แม้บนท้องถนนจะมีกับระเบิด เรายังใช้เทคโนโลยีในการเก็บกู้ได้ แต่ระเบิดในหัวใจสำคัญที่สุด นั่นเป็นสิ่งที่ปรารถนา”
อดีตเลขาธิการ ศอ.บต.เผยว่า สิ่งที่ภูมิใจจากการปฏิบัติหน้าที่ปลายด้ามขวาน คือทำให้หน่วยงานนี้เหมือนบ้าน เหมือนครอบครัวของทุกคนในพื้นที่
“ผมเป็นคนพุทธ ไม่เคยแตกแยกกับพี่น้องมุสลิม ส่วนคนไทยที่นี่มีหลายคนที่เชื้อสายมลายู แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความต่าง ส่วนหนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ ศอ.บต.คือการทำให้ที่นี่เป็นบ้าน เป็นครอบครัว แม้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจะมาจากต่างถิ่นต่างที่ แต่หล่อหลอมให้ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน พร้อมจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน นำการพัฒนา เป็นที่พึ่งพาให้ประชาชน อย่างน้อยได้ปลูกฝังจิตสำนึกให้กำลังพล เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่นี่ได้ระลึกถึงการทำงานเพื่อประชาชน”
ส่วนสิ่งที่ประทับใจที่สุด ก็คือการได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน
“เราเดินไปทางไหนมีพี่น้องประชาชนต้อนรับ สวมกอด ทำให้เห็นว่าเราอยู่ร่วมกันได้ในแผ่นดินนี้ และมีพี่น้องประชาชนที่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น ภูมิใจที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ร้อยประสานหัวใจไทย และสิ่งสำคัญอีกประการคือขอกราบขอบพระคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้ให้โอกาสในการได้ทำหน้าที่อันสำคัญตลอดหลายปีที่ผ่านมา”