กระแสวิจารณ์กองทัพดังกระหึ่มอีกครั้งจากกรณี “ส.ต.ท.หญิง” ทำร้าย “ส.ท.หญิง”
เหตุเพราะมีประเด็นกังขาเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสของการเข้ารับราชการ ทั้งตำรวจ และทหาร ตลอดจนการขอตัว ขอย้ายไปช่วยราชการ “ปฏิบัติราชการสนาม” ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษนานัปการ โดยที่ตัวไม่ได้ลงไปจริง
ส่งผลให้ปัญหา “บัญชีผี” ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ กระแสวิจารณ์ที่พุ่งตรงไปยังกองทัพก็มีมาก่อนแล้ว โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์แบบไม่ค่อยจะยอมลดราวาศอก ทั้งๆ ที่ประเทศเผชิญวิกฤติโรคระบาด และรายได้ขาดมือ จนต้องกู้เพิ่ม ขยายเพดานกู้
ส่วนการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร โดยเฉพาะระดับ ผบ.เหล่าทัพ ก็มีการให้ข่าว ปล่อยข่าวเรื่องเตรียมทหารบางรุ่นจะผงาดคุมทุกเหล่าทัพ นำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเสี่ยงในการปฏิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจ ทั้งๆ ที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้วในบรรยากาศบ้านเมืองและกระแสโลกขณะนี้
แต่การปฏิรูปกองทัพก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการลดอิทธิพลของทหารใน “การเมืองไทย”
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักรัฐศาสตร์ชื่อดัง ในฐานะนักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดังจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกมูลเหตุ 10 ประการที่สังคมไทยต้องการเห็นการปฏิรูปกองทัพ และกองทัพควรต้องถูกปฏิรูปอย่างจริงจังเสียที
——————————
@@ ถึงเวลาปฎิรูปกองทัพแล้ว!
ยิ่งนานวัน เสียงเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปกองทัพยิ่งดังขึ้น และมีแนวโน้มว่าเสียงเรียกร้องในเรื่องนี้จะดังอย่างต่อเนื่อง และดังไม่หยุดด้วย… เหตุกรณีสิบตำรวจโทหญิงที่เกี่ยวข้องกับกองทัพดังที่ปรากฏในสื่อปัจจุบันเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปัญหากองทัพไทยเท่านั้น
แน่นอนว่า เสียงเรียกร้องเช่นนี้ท้าทายต่อผู้นำทหารเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้นำกองทัพไทยอยู่ในโลกแคบๆ ของตนเองที่เชื่อว่า กองทัพไทยจะอยู่โดยไม่ปฏิรูป และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพไทยก็จะไม่ปฏิรูป โดยเฉพาะการมีความเชื่อพื้นฐานว่า กองทัพไทยดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น ดีแล้ว … สมบูรณ์แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องปฏิรูปใดๆ ทั้งสิ้น
ในอีกด้านหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมิติยุทธศาสตร์ทหาร หรือในมิติการเมืองใดๆ ก็ไม่เป็นแรงกดดันให้เกิดการปฏิรูปกองทัพ เช่น การสิ้นสุดของสงครามเย็นในเวทีโลก การมาของสงครามชุดใหม่หลังสงครามเย็นคือ สงครามอ่าวเปอร์เซีย หรือแม้กระทั่งการยุติของสงครามคอมมิวนิสต์ในไทยเอง ปัจจัยเหล่านี้ไม่มีผลต่อการปรับตัวของกองทัพไทยแต่อย่างใด
น่าสนใจว่า ผลเช่นนี้ต่างจากสิ่งที่เกิดในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นสุดของสงครามเย็น หรือการกำเนิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายกองทัพต้องปรับตัว แม้กองทัพจีนเองยังต้องปรับตัวในยุคหลังสงครามอ่าวฯ โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงการปรับตัวของกองทัพในโลกตะวันตก อันอาจกล่าวเป็นข้อสังเกตได้ว่า ไม่มีกองทัพใดในโลกตะวันตกที่ไม่ปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคหลังสงครามเย็น
แต่กองทัพไทยดำรงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง และการไม่ปรับตัวเช่นนี้ยังไปสอดรับกับบทบาททางการเมือง ดังจะเห็นได้ว่า กองทัพไทยทำรัฐประหารจากยุคหลังสงครามเย็นจนถึงการก้าวสู่ศตวรรษที่ 21 เป็นจำนวน 3 ครั้ง คือ รัฐประหาร 2534 รัฐประหาร 2549 และรัฐประหาร 2557
แม้จะมีชัยชนะจากการลุกขึ้นสู้ของประชาชนในปี 2535 แต่ก็เป็นเพียง “ชัยชนะชั่วคราว” เท่านั้น และไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยได้อย่างที่ขบวนประชาธิปไตยไทยคาดหวัง
กองทัพไทยอาจจะพาตนเองผ่านแรงกดดันของปัจจัยความเปลี่ยนแปลงของยุทธศาสตร์ทหารมาได้โดยไม่เปลี่ยนแปลง และเมื่อเข้ามาเป็นผู้คุมอำนาจทางการเมืองอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 2549 และ 2557 แล้ว ความรู้สึกถึงความจำเป็นที่ผู้นำทหารจะดำเนินการปฏิรูปกองทัพ จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้นำกองทัพไม่มีจินตนาการคือ พลวัตรทางสังคมที่มีมากขึ้น อันเป็นผลจากความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ซึ่งผลจากพลวัตรเช่นนี้ทำให้กองทัพมีความน่าเชื่อถือลดน้อยลง หรือกล่าวได้ว่าสังคมไทยมีทัศนะมากขึ้นว่า กองทัพไม่มี “เครดิต” ทางการเมือง และคนไม่ให้ความเชื่อมั่น
อีกทั้งปัญหาต่างๆ ที่เกิดในกองทัพในช่วงอดีตอาจจะสามารถซุกเอาไว้ใต้พรมไว้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยเงื่อนไขของโลกทางการเมืองแบบเก่าคือ “เขตทหาร ห้ามเข้า”
แต่โลกสมัยใหม่ สังคมไทยไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “เขตทหาร ห้ามเข้า” อีกแล้ว เรื่องที่เกิดภายในกองทัพไม่สามารถปิดลับได้อีกต่อไป และกลายเป็นแรงกดดันต่อการปฏิรูปกองทัพโดยตรง
บทความนี้จะทดลองนำเสนอ มูลเหตุ 10 ประการที่สังคมไทยต้องการเห็นการปฏิรูปกองทัพ ได้แก่
1.ปัญหาการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ที่ไม่มีความชัดเจนว่า เป็นการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของการฝึกทางทหาร หรือเกิดจากเรื่องอื่น และครอบครัวของทหารเหล่านี้ไม่ได้ยอมจำนนที่จะเก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้
2.ปัญหาการใช้ทหารเกณฑ์ที่ไม่ใช่ในภารกิจทางทหาร เช่น การถูกนำไปใช้ในการทำงานในครัวเรือน หรืองานอื่นๆ หรือถูกส่งไปทำหน้าที่เป็นทหารรับใช้ให้แก่บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง และเป็นประเด็นที่สังคมรับไม่ได้
3.ปัญหาเสนาพาณิชย์นิยม (Military Commercialism) ที่เป็นตัวอย่างจากปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นที่โคราช และนำไปสู่การเปิดเผยผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ในด้านต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ ซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสนามกอล์ฟ สนามมวย ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
4.ปัญหาการบรรจุกำลังพลของหน่วยที่ต้องทำงานในสนาม ซึ่งตัวเลขการบรรจุเป็นแบบยอดเต็ม แต่ตัวเลขกำลังพลจริงในสนามกลับไม่ครบตามจำนวน หรือที่เรียกกันว่าปรากฏการณ์ “ทหารผี” ในงานสนาม
5.การแสวงหาสิทธิประโยชน์โดยไม่ถูกต้องภายในกองทัพ หรือในงานสนาม เช่น ตัวบุคคลอยู่ที่กรุงเทพฯ แต่ไปรับผลประโยชน์ เช่น ขั้นทวีคูณและเงินค่าเสี่ยงภัยจากงานสนามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อีกทั้งการแสวงหาผลประโยชน์ในด้านอื่นๆ ของนายทหารในกองทัพ
6.ปัญหา “งบลับ” ที่ต้องการการตรวจสอบ และไม่มีความชัดเจนในการใช้ทางด้านงบประมาณ
7.ปัญหางบประมาณทหารที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ประเทศจะมีวิกฤตเพียงใด แต่การปรับลดงบประมาณนี้เป็นไปได้ยากมาก
8.ปัญหาการจัดซื้อจัดหายุทโธปกรณ์ ที่สังคมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปัญหา “ความอื้อฉาวด้านอาวุธ” (Arms Scandal) และสังคมมีความเห็นที่แตกต่างและไม่ตอบรับกับข้อเสนอของผู้นำทหารที่จะต้องซื้อระบบอาวุธที่มีมูลค่าสูงในทางงบประมาณ เช่น กรณีเรือดำน้ำ เครื่องบินรบเอฟ-35
9.การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของทหาร โดยบทบาทในเรื่องของปฎิบัติการผ่านสื่อ หรือที่เรียกว่า “ไอโอ” และกองทัพถูกดึงเข้าเป็น “คู่ขัดแย้ง” โดยตรงในทางการเมือง
10.การแสดงบทบาททางการเมืองของผู้นำทหาร และการนำเอากองทัพไปทำหน้าที่เป็น “ผู้สนับสนุนหลัก” ให้แก่รัฐบาลทหาร และรัฐบาลสืบทอดอำนาจ
ฉะนั้น ไม่ว่าผู้นำทหารจะยอมรับต่อแรงกดดันทางสังคมเช่นนี้หรือไม่ก็ตาม แต่เสียงเรียกร้องให้เกิดการปฏิรูปกองทัพจะดังไม่หยุด…
ถึงเวลาต้อง “ผ่าตัด” กองทัพไทยเพื่อรักษา “สถาบันทหาร” และถึงเวลาต้องพากองทัพออกจากวังวนของการแสวงหาผลประโยชน์ของผู้นำทหารบางคนได้แล้ว !
--------------------------------
ภาพรถถังจากเว็บไซต์ thaidefense-news.blogspot.com