
ทหาร – ประชาชน - นักศึกษาชายแดนใต้ แห่บริจาคเลือดให้ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไม่สงบไทย-กัมพูชา ส่วนชาวโซเชียลฯปัตตานีร่วมติดแฮชแท็ก “กัมพูชายิงก่อน” ขณะที่ชาวนกจะนะ จัดแข่งนกระดมทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่ชายแดน
สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชาทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แม้ผู้นำสหรัฐจะออกโรงโทรศัพท์หานายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกฯของทั้งสองประเทศ โน้มน้าวให้ “หยุดยิงทันที” ก็ตาม
เพราะนอกจากกัมพูชาจะเปิดฉากยิงใส่ไทยก่อนตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา และใช้อาวุธหนักอย่างเครื่องยิงจรวดหลาลำกล้อง BM-21 ยิงเข้ามาในพื้นที่ที่มีชุมชนพลเรือนอาศัยอยู่ โรงพยาบาล โรงเรียน วัด ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งเด็ก ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากแล้ว ล่าสุดเช้าวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค. หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามโทรเคลียร์ แต่กัมพูชาก็ยังยิงไม่เลิก
ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทยที่ยังคงตึงเครียด ปรากฏว่ามีความห่วงใยของพี่น้องประชาชนจากพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้ร่วมส่งกำลังใจไปให้พี่น้องทหารไทยที่ทำหน้าที่รั้วของชาติอย่างแข็งขันในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย รวมไปถึงการส่งกำลังใจไปให้ประชาชนในพื้นที่สู้รบให้อพยพออกมาอย่างปลอดภัย
@@ แห่บริจาคเลือดช่วยผู้บาดเจ็บเหตุสู้รบไทย-เขมร

ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ทหาร กรมทหารราบที่ 151 ค่ายกัลยาณิวัฒนาและค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พร้อมด้วยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ และประชาชนจากหลากหลายพื้นที่ ร่วมใจกันบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดน และเพื่อสำรองโลหิตในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งยังคงมีผู้ได้รับบาดเจ็บต่อเนื่องจากเหตุปะทะในช่วงที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นการส่งต่อพลังใจให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา สะท้อนถึงน้ำใจของคนไทยที่ไม่ทอดทิ้งกันในยามวิกฤต
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ มนร. ที่มาร่วมบริจาคเลือด กล่าวว่า ในฐานะที่เราเป็นคนไทย จึงได้มาบริจาคเลือดให้กับคนไทยที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งพอทราบข่าวจากโทรทัศน์ก็ชักชวนเพื่อนๆ มาบริจาคเลือดกัน รู้สึกภูมิใจที่วันนี้ได้มาบริจาคเลือดเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ อยากเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทหารทุกนายที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและต่อสู้เพื่อคนไทย
ส.ต.สรยุทธ์ หมุดตะเหล็ง ทหารในพื้นที่ชายแดนใต้ กำลังพลในหน่วยทหารราบที่ 151 กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่สูญเสียและได้รับบาดเจ็บ พร้อมขอส่งกำลังใจให้พี่ๆ น้องๆ ทหารทุกนายที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา และขอให้ปลอดภัยแคล้วคลาดทุกคน พอได้ทราบเหตุการณ์จึงได้ชวนกันมาบริจาคเลือด เพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยที่อยู่ชายแดน ซึ่งเท่าที่ทราบก็มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน
เช่นเดียวกับ ส.ต.อภิสิธร์ เพ็ชรศรีจันทร์ ที่บอกว่า ในฐานะที่เป็นทหารด้วยกัน จึงได้มาบริจาคเลือดและส่งกำลังใจให้กับเพื่อนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวที่ได้รับบาดเจ็บและสูญเสีย
ด้าน นายหิรัณย์ ขานโบ ชาวบ้านที่มาร่วมบริจาคเลือด กล่าวว่า พวกเราทุกคนขอเป็นกำลังใจให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดน ตอนนี้ได้เกิดความสูญเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิด จึงได้มาบริจาคเลือดเพื่อฝากเลือดให้กับพี่น้องที่ต้องการใช้เลือดในยามวิกฤตครั้งนี้
@@ ชาวปัตตานีร่วมติดแฮชแท็ก “กัมพูชายิงก่อน”

ขณะที่ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ได้เกิดกระแสการรวมพลังแสดงออกผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยมีเสียงเรียกร้องจากกลุ่มประชาชนในโลกออนไลน์เชิญชวน “คนตานี” หรือพี่น้องชาวปัตตานี ร่วมกันติดแฮชแท็กเพื่อแสดงจุดยืนและความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
นายอีซอ สาและ ชาวจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า แฮชแท็กหลักที่ถูกรณรงค์ให้ใช้ประกอบด้วย #กัมพูชายิงก่อน, #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด, และ #CambodiaOpenedFire ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเน้นย้ำถึงประเด็นที่ “ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มการยิง” ซึ่งเป็นชนวนเหตุของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้ยังเป็นการแสดงออกถึง ความรักชาติอันเปี่ยมล้นของประชาชนไทย และความพร้อมของประเทศไทยในการปกป้องอธิปไตย หากมีความจำเป็นต้องเผชิญหน้า
ด้านเจ้าหน้าที่ในพื้นที่รายหนึ่งในพื้นที่ จ.ปัตตานี กล่าวว่า การรณรงค์แฮชแท็กเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงออกถึงความรู้สึกส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึง “พลังของประชาชนในยุคดิจิทัล” ที่สามารถรวมตัวกันและส่งเสียงแสดงความคิดเห็นในประเด็นสำคัญระดับชาติได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
“กระแสการติดแฮชแท็กในครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ประชาชนชาวปัตตานีไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดหรืออยู่ ณ ที่ใด ก็มีความตื่นตัวและติดตามสถานการณ์ของประเทศอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังและสนับสนุนชาติบ้านเมืองในทุกวิถีทางที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการสื่อสารและการสร้างการรับรู้ในวงกว้างบนแพลตฟอร์มออนไลน์”
@@ แข่งนกระดมทุน ช่วยผู้รับผลกระทบชายแดนไทย-กัมพูชา

ส่วนที่บริเวณสนามโรงเรียนจะนะชนูปถัมภ์ อ.จะนะ จ.สงขลา ชมรมผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก อ.จะนะ จ.สงขลา ร่วมกับหลายองค์กร จัดการแข่งขันนกกรงหัวจุก “นัดพิเศษ” เพื่อร่วมระดมทุนส่งมอบไปให้กับทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งขณะนี้มีการอพยพประชาชนออกห่างจากเขตอันตรายในหลายจังหวัดแล้ว
โดยในการจัดแข่งนกกรงหัวจุกในครั้งนี้ รายได้จากการลงทะเบียนแข่งขัน หลังหักค่าใช้จ่าย ก็จะส่งไปให้ความช่วยเหลือผ่านองค์กรที่เชื่อถือได้ ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่คนเลี้ยงนกกรงหัวจุกร่วมช่วยชาติ โดย พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ สส.เขต 8 สงขลา ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบเงินส่วนตัวร่วมสมทบการช่วยเหลือพี่น้องชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย
พล.ต.ต.สุรินทร์ กล่าวว่า ชมรมผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุก อ.จะนะ น่าจะเป็นองค์กรแรกๆ ในการจัดระดมทุนเพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราที่ประสบภัยต้องอพยพออกจากบ้านเรือน ซึ่งเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดต่อไปอีกนานหรือไม่ ดังนั้นจึงอยากให้องค์กรการกีฬา หรือองค์กรต่างๆ อีกหลากหลายองค์กรที่มีการจัดกิจกรรม จัดการแข่งขัน ก็อาจจะแบ่งรายได้ที่ได้ส่วนหนึ่งส่งไปช่วยเหลือให้กำลังใจ ทั้งประชาชน ทั้งทหาร ส่วนตัวเองก็ได้ส่งมอบเงินส่วนตัวร่วมสมทบไปในคราวเดียวกันนี้ เพื่อให้กำลังใจของเราไปถึงพี่น้องแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
@@ คาด 3-4 เดือนปลดล็อก “นกกรงหัวจุก” พ้นสัตว์ป่าสงวน

นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรินทร์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในเรื่องของการเดินหน้าปลดล็อก “นกกรงหัวจุก” ออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองด้วยว่า ขณะนี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรและธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นด้วยในเรื่องนี้ และมีเจตนาอันแน่วแน่ที่จะปลดล็อกให้ได้ จึงได้แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติม หลังจากมีผู้หมดวาระไปและตำแหน่งว่างลง
“จริงๆ แล้วการปลดล็อกนกกรงหัวจุกนั้นเป็นความต้องการของประชาชนที่จะให้เป็นสัตว์เศรษฐกิจของพื้นที่ แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือเราส่งนกกรงหัวจุกไปขายยังประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม ต้องยอมรับว่า ไปแบบไม่ถูกต้อง แต่เป็นเรื่องโชคดีที่รัฐมนตรีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ และเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง และรู้ปัญหาอยู่แล้ว ทำให้คาดการณ์ว่าอีกประมาณ 3-4 เดือนก็น่าจะเรียบร้อย เพราะเราเดินหน้าปลดล็อกแล้ว แต่ยังเหลือกระบวนการที่ต้องทำอีก 8 ขั้นตอน”
