ตึก สตง.ถล่มพ่นพิษไม่หยุด เร่งรุดตรวจไซต์งานก่อสร้างอาคารท่าอากาศยานนราธิวาส หลังพบ “ไชน่า เรลเวย์ฯ” เจ้าเก่าร่วมเป็นบริษัทรับเหมา รมช.คมนาคม จ่อเลิกสัญญา เหตุล่าช้ากว่า 60% แถมยังเคยถูก ป.ป.ช.ส่งหนังสือเร่งรัด 13 ครั้ง
ความคืบหน้ากรณี นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ไล่ตรวจสอบโครงการต่างๆ ของกรมท่าอากาศยาน หลังเกิดกรณีอาคาร สตง.ถล่ม พบว่ามี 1 โครงการ คือ โครงการจ้างก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่และสิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ พร้อมครุภัณฑ์อำนวยความสะดวกท่าอากาศยานนราธิวาส วงเงิน 639 ล้านบาท ที่ปรากฏชื่อผู้รับจ้างคือ กิจการร่วมค้าซีไอเอส ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไอเอสโอ เอนจิเนียริ่ง จำกัด กับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
โดย บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ เป็นหนึ่งในบริษัทที่ชนะประมูล และรับเหมาสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ที่เกิดเหตุถล่มจากแผ่นดินไหวไม่ร้ายแรงในประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการนี้ พบว่าเริ่มสัญญาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว เมื่อวันที่ 15 มี.ค.65 สิ้นสุดสัญญาไปเมื่อวันที่ 16 ม.ค.2568 แต่ในช่วงปลายปี 67 ได้เกิดอุทกภัยในพื้นที่ จ.นราธิวาส ทำให้โครงการได้รับการขยายอายุสัญญา โดยผลงานของโครงการในเดือน ก.พ.68 มีความคืบหน้าเพียง 0.64% ส่งผลให้ภาพรวมของโครงการล่าช้ากว่า 61.27% มีแนวโน้มว่าผู้รับจ้างไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้
ส่งผลให้กรมท่าอากาศยานได้เชิญผู้รับจ้างเข้าประชุมเร่งรัดงาน ในวันที่ 4 มี.ค.68 และมีเงื่อนไขว่า หากภายใน 2 เดือน โครงการไม่คืบหน้าเดือนละ 5% กรมท่าอากาศยานจะยกเลิกสัญญา และแจ้งชื่อบริษัทผู้รับจ้างเป็นผู้ทิ้งงาน เนื่องจากผิดสัญญาจ้างตามขั้นตอนของกฎหมายฃ
สถานะของโครงการในปัจจุบันอยู่ในช่วงติดตามผลการเร่งรัด ซึ่งผู้รับจ้างทำผลงานเดือนที่ 1 (มี.ค.68) ได้ต่ำกว่าเกณฑ์มาก มีความคืบหน้าเพียง 0.51% ส่งผลให้ภาพรวมโครงการคืบหน้าเพียง 39.24% ล่าช้ากว่าแผน 60.76% หรือล่าช้ากว่า 631 วัน
ทางกรมท่าอากาศยานได้ส่งจดหมายเตือน และติดตามผลงานในเดือนที่ 2 (เม.ย.68) ต่อไป หากผู้รับจ้างไม่สามารถเร่งรัดงานได้ตามที่กำหนด แสดงว่าผู้รับจ้างไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ กรมท่าอากาศยานจะยกเลิกสัญญา และแจ้งชื่อเป็นผู้ทิ้งงาน จะทำให้ไม่สามารถรับงานกับหน่วยงานรัฐได้อีก
นอกจากนี้ นางมนพร ได้มีการมอบหมายให้กรมท่าอากาศยานแจ้งที่ปรึกษาควบคุมงาน ให้ตรวจสอบมาตรฐานการก่อสร้าง มาตรฐานวัสดุอุปกรณ์ในการก่อสร้างของผู้รับเหมาที่ได้ดำเนินการมาแล้วทั้งระบบอย่างละเอียด และให้รายงานให้ทราบภายใน 3 วัน หากพบสิ่งผิดปกติให้รายงานและแก้ไขโดยเร่งด่วน
@@ โครงการยังดำเนินการต่อ ช่วงนี้หยุดรายอ 3 วัน
ล่าสุด วันพุธที่ 2 เม.ย.68 “ทีมข่าวอิศรา” เดินทางไปตรวจสอบโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ของท่าอากาศยานนราธิวาส ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบริเวณด้านขวามือของอาคารที่พักผู้โดยสารหลังเก่า แต่ไม่สามารถเข้าไปยังพื้นที่ที่มีการก่อสร้างได้ โดยพบว่าวันนี้ไม่ได้มีการก่อสร้างโครงการแต่อย่างใด แต่ตัวโครงการไม่ได้ถูกทิ้งร่าง เพราะยังมีรถเครน รถบรรทุกของโครงการจอดอยู่ภายใน และยังมีอุปกรณ์นั่งร้านวางอยู่ด้วย
จากการสอบถาม รปภ.ของโครงการฯ ทราบว่า บริษัทผู้รับเหมาหยุดงานตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. ถึงวันที่ 2 เม.ย. เป็นเวลา 3 วัน เนื่องจากวิศวกรคุมงานเป็นคนมุสลิมในพื้นที่ จึงขอหยุดงานในช่วงเทศกาลวันฮารีรายอ โดยปัจจุบันมีคนงานก่อสร้างเป็นชาวพม่าประมาณ 60 คน
ทีมข่าวพยายามติดต่อไปยังวิศวกรของโครงการ เพื่อขออนุญาตเข้าไปถ่ายภาพการก่อสร้างของโครงการ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทราบเพียงว่าวิศวกรไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แต่เดินทางไปกรุงเทพฯ
@@ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโยนถาม กรมท่าอากาศยาน
ทีมข่าวยังได้ติดต่อและประสานงานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแจ้งว่า ถ้าต้องการทราบข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ ต้องสอบถามทางกรมท่าอากาศยาน ที่ส่วนกลาง เท่านั้น
@@ ป.ป.ช.ส่งหนังสือเร่งรัด 13 ครั้ง!
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ ท่ากาศยานนราธิวาส เคยถูกผู้ตรวจราชการสำนักงาน ป.ป.ช. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนราธิวาส ประสานข้อมูลกับท่าอากาศยานนราธิวาส ในประเด็นที่ได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงความล่าช้าของโครงการ หลังจากได้รับการจัดสรรงบประมาณไปแล้ว
ที่ผ่านมามีการแจ้งหนังสือเร่งรัดความก้าวหน้างานก่อสร้าง จำนวนถึง 13 ฉบับ เนื่องจากเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินงบประมาณสูง และเกรงว่าจะก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เพราะพบปัญหาอุปสรรคหลายประการ ประกอบกับจะมีการขอขยายระยะเวลา ทางสำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดนราธิวาส จึงได้เข้าไปให้คำแนะนำและข้อสังเกตในประเด็นต่างๆ เพื่อหาแนวทางดำเนินโครงการให้ประสบความสำเร็จ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการและประชาชน รวมถึงป้องปรามการทุจริตด้วย แต่สุดท้ายโครงการก็ยังคืบหน้าน้อยมาก ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่กรมอุทยานแห่งชาติกำหนดอยู่ดี