สถานการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้ สร้างความตื่นตัวให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการปัญหามากพอสมควร ถึงขั้นออกโรงขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะ “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ให้ช่วยกันสร้างบรรยากาศของความสงบและสันติสุข
ไม่ใช่อาศัยเหตุการณ์ความรุนแรงเป็นช่องทางโจมตีฝ่ายรัฐ เสมือนหนึ่งให้ท้ายผู้ก่อเหตุรุนแรง
สาเหตุที่หลายฝ่ายขยับกันอย่างคึกคักจริงจังเป็นพิเศษ เพราะเหตุร้ายห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้มีความพิเศษมากกว่าปีอื่นๆ กล่าวคือ
- เป็นสถานการณ์รุนแรงต้อนรับ หรือ “รับน้อง” รัฐบาลแพทองธาร ที่เพิ่งเข้ามามีอำนาจเต็มมือ
- ความรุนแรงในลักษณะ “เหนือการควบคุม” ที่เกิดขึ้น สะท้อนภาพว่ารัฐบาลไม่มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ และยิ่งแสดงว่าเป้าหมายสันติสุขยังอยู่ห่างไกล
- เป็นเหตุร้ายที่เกิดขึ้นในจังหวะเวลาใกล้เทศกาลอภิปรายไม่ไว้วางใจ เท่ากับเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลโดยตรง และส่งผลทางการเมืองค่อนข้างหนักด้วย
- เป็นการเปิดเหตุการณ์วนซ้ำเหมือน “เดจาวู” ในรัฐบาลชินวัตร เนื่องจากยุคพ่อ คือ นายทักษิณ ชินวัตร ก็เกิดเหตุการณ์ปล้นปืน และเป็นจุดเริ่มต้นของไฟใต้
ยุคอา คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เปิดโต๊ะพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการครั้งแรก เท่ากับยกระดับบีอาร์เอ็นให้เป็นคู่เจรจากับรัฐไทย
และยุคลูก นางสาวแพทองธาร มีการสั่งทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่มียุทธศาสตร์ใหม่ สะท้อนว่าไม่มีอะไรติดมือมาเพื่อแก้ปัญหา
- เป็นการเกิดเหตุรุนแรงครั้งใหญ่หลังจากอดีตนายกฯทักษิณ เพิ่งลงพื้นที่ครั้งแรกในรอบ 20 ปี เพียงไม่ถึง 10 วัน ทั้งยังไปกล่าวขออภัยกับความผิดพลาดในอดีต โดยเฉพาะเหตุการณ์ตากใบ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่
เหตุปัจจัยทั้งหมดกลายเป็นแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ ต้องเร่งควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด
@@ เมื่อรอมฎอนตรงกับเดือนมีนาฯ รับวันสถาปนา BRN
พล.ท.สุรเทพ หนูแก้ว หรือ “บิ๊กจ้อย” ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.ศปป.5 กอ.รมน.) ซึ่งรับผิดชอบปัญหาชายแดนใต้โดยตรง กล่าวถึงอีกหนึ่งความพิเศษของเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนใต้ ในห้วงเดือนรอมฎอนปีนี้
“ปี 68 มีความพิเศษ แตกต่างจากปีอื่นๆ คือ เดือนรอมฎอนวนมาตรงกับเดือนมีนาคมพอดี ซึ่งวันที่ 13 มีนาคม เป็นวันคล้ายวันสถาปนาของบีอาร์เอ็น ตั้งแต่ปี 2503 ฉะนั้นเดือนรอมฎอนปีนี้จึงมีความแตกต่างจากปีอื่นๆ และทำให้เหตุรุนแรงเกิดเยอะกว่าปกติ”
พล.ท.สุรเทพ อธิบายว่า จริงๆ รอมฎอนเป็นเดือนแห่งบุญ การฆ่าคน ทำลายทรัพย์สิน หรือทำลายชีวิตผู้อื่น ถือว่าเป็นบาป แต่ที่ผ่านมามีการบิดเบือนหลักคำสอนของศาสนา ทำให้เกิดปัญหาขึ้น
ผอ.ศปป.5 กอ.รมน. กล่าวต่อว่า จากความสำคัญของเดือนรอมฎอน ทางฝ่ายความมั่นคงก็ประเมินไว้แล้ว จึงได้ประสานขอความร่วมมือจากฝ่ายกองกำลังของบีอาร์เอ็น ให้ร่วมกันสร้าง “รอมฎอนสันติสุข” เพื่อความสุขและอิ่มบุญของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่
แต่สุดท้ายจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ชัดเจนว่า ข้อเสนอของฝ่ายรัฐไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงต้องแก้ไขสถานการณ์กันต่อไป
@@ ขอ สส.ในสภาอย่าให้ท้ายผู้ก่อเหตุรุนแรง
อย่างไรก็ดี พล.ท.สุรเทพ บอกว่า ประเด็นที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นก็คือ ปัจจุบันผู้เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนใต้ที่ถือว่าเป็น “actor” หรือ “ตัวแสดง” ที่สำคัญ นอกจากฝ่ายรัฐ กับขบวนการบีอาร์เอ็นแล้ว ยังมี สส.หรือผู้แทนราษฎรในสภาด้วย
ปัญหาที่พบในขณะนี้คือ สส.ในฐานะผู้แทนประชาชน ไม่ได้แสดงบทบาทเรียกร้องให้เกิดความสงบ หรือส่งสัญญาณกดดัน หรือแม้แต่ขอร้องให้ฝ่ายผู้ก่อการยุติการก่อเหตุรุนแรง เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะพี่น้องมุสลิม ได้ประกอบศาสนกิจอย่างเต็มที่สมกับความตั้งใจแต่อย่างใด แต่ สส.บางรายกลับพูดหรือแสดงออกเชิงยั่วยุหรือให้ท้ายการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
ฉะนั้นตนในฐานะ ผอ.ศปป.5 กอ.รมน.ซึ่งรับผิดชอบปัญหาชายแดนใต้โดยตรง จึงอยากส่งสัญญาณขอความร่วมมือไปยัง สส.และนักการเมืองในสภาที่ออกมาแสดงบทบาทให้ท้ายกลุ่มก่อความไม่สงบในช่วงนี้ ขอให้ยุติบทบาท และหันมาร่วมกันเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างเดือนรอมฎอนให้เป็นเดือนแห่งบุญ เดือนแห่งสันติอย่างแท้จริง
@@ บุกรวบ 3 ผู้ต้องสงสัยเอี่ยวบึ้ม “มินิบิ๊กซี” บันนังสตา
อีกด้านหนึ่งมีปฏิบัติปิดล้อม ตรวจค้น และบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 14 มี.ค.68 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนคดีความมั่นคงและคดีพิเศษ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า (สมค.ศปก.ตร.สน.) สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดยะลา (นปพ.ยะลา) เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดยะลา (กก.สส.ภ.จว.ยะลา) และ เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 (ฉก.ตชด.44) เข้าพิสูจน์ทราบและบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุลอบวางระเบิดมินิบิ๊กซี สาขาบันนังสตา จ.ยะลา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 22 ก.พ.68 ที่ผ่านมา จนทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและประชาชนได้รับบาดเจ็บนับสิบราย ทั้งยังมีผู้เสียชีวิต 1 รายด้วย
จากการสืบสวนขยายผลของเจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยที่ก่อเหตุได้ทั้งหมด 4 ราย ประกอบด้วย
1.นายรุสดี (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
2.นายอาแว (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หมู่ 2 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
3.นายฟาฎิล (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หมู่ 1 ต.บาเจาะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา
4.นายแวอุสมาน (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ หมู่ 1 ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา
สำหรับ นายแวอุสมาน เป็นบุคคลที่มีหมายจับ ป.วิอาญา จำนวน 2 หมาย
ผลการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านตามภูมิลำเนาของผู้ต้องสงสัยทั้ง 4 เป้าหมายแล้ว ปรากฏว่าสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 3 ราย คือ นายรุสดี, นายอาแว และนายฟาฎิล ส่วน นายแวอุสมาน เจ้าหน้าที่ไม่พบตัว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยทั้ง 3 โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก และได้ส่งเข้าศูนย์ซักถาม หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ค่ายวังพญา อ.รามัน จ.ยะลา เพื่อเข้าสู่กระบวนการซักถามและขยายผลต่อไป
@@ ตูมสนั่นก่อน “ทักษิณ” ลงพื้นที่ชายแดนใต้
สำหรับเหตุระเบิดที่ร้านสะดวกซื้อ “มินิบิ๊กซี” สาขาบันนังสตานั้น เกิดขึ้นช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ 22 ก.พ.68 ก่อนที่อดีตนายกฯทักษิณ จะลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ. เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
อ่านประกอบ : บึ้มหน้าร้านสะดวกซื้อบันนังสตา เจ็บระนาว 11 ราย