กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ออกแถลงชี้แจงกรณีอัยการสั่งฟ้อง 9 นักกิจกรรมในคดียุยงปลุกปั่น ไม่ใช่การรวมตัวแต่งกายชุดมลายู ด้านผู้ต้องหาร้องอัยการสูงสุดให้ตรวจสอบการแปลถอดความภาษามลายูเป็นภาษาไทยอีกรอบ โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมเปิดไฟล์เสียงต้นฉบับดี อีกด้าน “ประธานกลุ่มด้วยใจ” ร้องทนายแผ่นดินทบทวนการสั่งคดีที่ถูกทัพเรือร้องทุกข์เอาผิด ปมโพสต์อัดทหารติดหนี้น้ำประปามัสยิด
จากกรณีกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ได้แต่งตั้งผู้แทนเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อดำเนินคดีต่อคณะแกนนำในการจัดงานและร่วมทำกิจกรรมที่มีเนื้อหา รูปแบบในลักษณะของการยุยงปลุกปั่นให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชรัฐปาตานี ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พ.ค.65 โดยสมัชชาประชาสังคมเพื่อสันติภาพ (CAP) ณ หาดวาสุกรี ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี
โดยจากการตรวจสอบเนื้อหาและภาพตามที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า รูปแบบการดำเนินกิจกรรมและเนื้อหาการแสดงออกที่อยู่ในความควบคุมของคณะแกนนำผู้จัดนั้น มีเนื้อหาที่มีลักษณะเป็นการยุยงปลุกปั่น มีการแสดงธงของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน BRN รวมทั้งมีการกล่าวถ้อยคำบนเวทีอันมีลักษณะว่า “มีศัตรูมาทำลายชาติมลายูปาตานีทำให้เสียเอกราช เยาวชนต้องรวมตัวกันทำให้หมดไปซึ่งการถูกกดขี่ข่มเหง”
และการกล่าวถ้อยคำว่า “วันรายอที่ 3 เป็นวันเยาวชนแห่งชาติปาตานี” รวมถึงกิจกรรมร้องเพลงปลุกใจ มีเนื้อหาทำนองให้เยาวชนร่วมกันปฏิวัติกอบกู้เอกราชรัฐปาตานีคืนมา ซึ่งพฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดอาญา
ทำให้คณะพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็นควรส่งฟ้อง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ กับพวกรวม 9 คน ในฐานความผิดตาม...
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ผู้ใด
(1) ร่วมกันทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหนังสือหรือด้วยวิธีอื่นใดอันมิใช่กระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน...
มาตรา 209 ความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่
มาตรา 210 ความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร
และดำเนินคดีตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กรณีการชุมนุมฝ่าฝืนมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19
ต่อมาพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องตามพนักงานสอบสวน และวันที่ 23 ม.ค.58 ที่จะถึงนี้ จะเป็นวันครบรอบที่อัยการจังหวัดปัตตานีเลื่อนนัดเพื่อยื่นฟ้องคดีกับนักกิจกรรมทั้ง 9 ราย ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค.67 ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาคดีดังกล่าวพยายามยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและอัยการสูงสุด เพื่อขอให้ทบทวนคำสั่งของอัยการคดีอาญา 4 ภาค 9 ที่มีความเห็นควรสั่งฟ้อง นายมูฮำหมัดอาลาดี เด็งนิ กับพวกรวม 9 คน เช่นเดียวกับความเห็นของพนักงานสอบสวนคดีความมั่นคง โดยกล่าวอ้างทำนองว่าพวกตนไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง เพียงแต่แสดงออกด้วยการแต่งกายด้วยชุดอัตลักษณ์มลายูเท่านั้น
@@ ยันฟ้อง 9 นักกิจกรรมยุยุ่งปลุกปั่น ไม่เกี่ยวแต่ชุดมลายู
กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า ตามที่มีแนวร่วมกลุ่มแกนนำของผู้จัดกิจกรรมพยายามชี้นำบิดเบือนว่า กอ.รมน.ภาค 4 สน. ดำเนินการฟ้องแกนนำทั้ง 9 ราย ในข้อหาจัดกิจกรรมสวมชุดมลายู รวมถึงการแสดงออกผ่านกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่สาธารณะของประชาชนในพื้นที่ ข้อความดังกล่าวไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม กอ.รมน.ภาค 4 สน. ได้พยายามส่งเสริมอัตลักษณ์การแต่งกาย ศาสนา ภาษา วัฒนธรรมของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ดังจะเห็นได้จากการกำหนดงานการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นหนึ่งในงานนโยบายสำคัญของผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (ผอ.รมน.ภาค 4) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน อันจะทำให้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเข้าใจ จะทำให้สันติสุขกลับคืนมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างแน่นอน
ส่วนความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 สำนักอัยการสูงสุดได้สั่งยุติคำร้องขอความเป็นธรรมของนักกิจกรรม 9 คนในคดี “ยุยงปลุกปั่น” ซึ่งได้ยื่นต่อสำนักงานอัยการสูงสุดไว้เมื่อวันที่ 3 ต.ค.67 และพิจารณาว่าพยานที่นักกิจกรรมทั้ง 9 คนได้เสนอเพิ่มเติมไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในคดียุยงปลุกปั่นได้
ทั้งนี้กลุ่มนักกิจกรรมยังเคยพยายามเรียกร้องความเป็นธรรมผ่านการพบปะกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนแต่อย่างใด
กอ.รมน.ภาค 4 สน. จึงขอสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนอีกครั้งว่า คดีดังกล่าวเป็น “คดียุยงปลุกปั่น” ที่มีรายละเอียดการปฏิบัติในกิจกรรมอาจผิดต่อกฎหมาย ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่สื่อสังคมออนไลน์บางสื่อบิดเบือนให้เป็นคดีในลักษณะอื่น ขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณเปรียบเทียบข้อมูลข่าวสารก่อนตัดสินใจเชื่อในข้อมูลข่าวสาร
@@ ร้องแปลข้อความใหม่ - เปิดเผยไฟล์เสียงเพื่อสิทธินำไปสู้คดี
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 ม.ค.68 นักกิจกรรมทั้ง 9 ได้ยื่นหนังสือขอโต้แย้งความเห็นการร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ณ สำนักงานอัยการสูงสุด กรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบการดำเนินคดีที่อาจไม่เป็นธรรม ในประเด็นข้อโต้แย้งสำคัญ การร้องขอต่ออัยการสูงสุด ผู้ร้องขอให้อัยการสูงสุดตรวจสอบกระบวนการทำงานของพนักงานสอบสวน
โดยหากสรุปข้อเรียกร้องสำคัญ ที่ผู้ร้อง (นักกิจกรรมทั้ง 9 คน ) เรียกร้องให้อัยการสูงสุด ดำเนินการคือ
1.ตรวจสอบการแปลข้อความและความถูกต้องของหลักฐานทางภาษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นกลาง
2.เปิดเผยไฟล์เสียงต้นฉบับที่ใช้เป็นพยานหลักฐานให้ผู้ต้องหาได้ตรวจสอบและใช้สิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่
3.พิจารณาเจตนารมณ์ของผู้ต้องหาอย่างรอบคอบ ว่าการกระทำดังกล่าวมีเจตนาเพื่อก่อความไม่สงบหรือเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
4.ให้ความสำคัญกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาตามที่รัฐธรรมนูญและกติการะหว่างประเทศรับรอง
ขณะที่ผู้ร้อง (ตัวแทนนักกิจกรรมทั้ง 9 คน ) ยืนยันว่า คดีนี้ยังมีปัญหาในทั้งด้านข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย และขอให้อัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องร้องเรียนอีกครั้งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมสูงสุดในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ได้ข้อยุติว่า คดีที่กล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 9 ได้ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องจริง
โดยเฉพาะผู้ต้องหาบางคนนั้น ควรมีการดำเนินการให้ละเอียดรอบคอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและรับรองความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายในคดีนี้
@@ กองทัพเรือฟ้อง พ.ร.บ.คอมฯ “ประธานกลุ่มด้วยใจ”
วันอังคารที่ 21 ม.ค.68 น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ พร้อมทนายความและองค์กรภาคีเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางไปยังสำนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาส ตามที่สำนักงานอัยการได้นัดหมายก่อนหน้านี้ จากกรณีที่กองทัพเรือดำเนินคดีในฐานผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่ สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 14 ต.ค.67 ที่ผ่านมา เนื่องจากวันนี้ทางพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งคดี
อนึ่ง ที่มาของคดี สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 19 ก.ค.67 ผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพเรือ ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.บาเจาะ ว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.67 น.ส.อัญชนา ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กทำนองว่า มัสยิดในอำเภอบาเจาะทวงเงินค่าน้ำประปาจากค่ายทหารที่ใช้น้ำของมัสยิด ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้หน่วยทหารของกองทัพเรือเสียหาย
น.ส.อัญชนา กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ 2 ที่ฟ้องโดยหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนพูดถึงปัญหาที่ประชาชนเผชิญ ตนก็มีความหวังตลอดในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม วันนี้จึงได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมจากพนักงานอัยการ เพื่อขอให้พิจารณา เนื่องจากคดีดังกล่าวไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะแต่อย่างใด โดยขั้นตอนต่อไปต้องรอพนักงานอัยการพิจารณากลั่นกรองคดี เพื่อมีความเห็นว่าสมควรสั่งฟ้องหรือไม่