รัฐบาลเพื่อไทยแสดงท่าทีชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือน ก.ย.66 และเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีจาก นายเศรษฐา ทวีสิน เป็น นางสาวแพทองธาร ชินวัตร
โดยท่าทีของรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ล่าสุดชัดเจนว่า รัฐบาลยังไม่พอใจแนวทางและผลสัมฤทธิ์ในภารกิจดับไฟใต้ จึงสั่งให้ทบทวนยุทธศาสตร์ใหม่ ก่อนกำหนดตัวบุคคลที่จะทำหน้าที่เป็นคณะพูดคุยสันติสุขต่อไป
ท่าทีดังกล่าวนี้เกิดขึ้นภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (กบฉ.) ครั้งที่ 1/2568 ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน โดยมีวาระสำคัญวาระเดียว คือพิจารณาการต่ออายุขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันประกาศอยู่ทั้งหมด 18 อำเภอ จาก 33 อำเภอของ จ.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ภายหลังการประชุม นายภูมิธรรม แถลงว่า ที่ประชุมมีมติยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งใช้อำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ที่ อ.ยะหา จ.ยะลา นับเป็นอำเภอที่ 16 ที่ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ขณะนี้เหลือพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพียง 17 อำเภอ
@@ สั่งรื้อยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ขีดเส้นสิ้นเดือนต้องจบตั้งคณะพูดคุยฯ
นายภูมิธรรม ยังบอกว่า ในที่ประชุมมีการตั้งคำถามว่า สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เรามาถูกทางแล้วหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับงานที่ต้องทำอีกหลายด้าน ทั้งงานความมั่นคงที่ต้องเผชิญกับเหตุความรุนแรง ซึ่งก็มีความห่วงใยราษฎรและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ถ้าแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ก็น่าจะเป็นผลบวก
สิ่งที่เป็นคำถาม และจะพูดคุยกันให้จบภายในเดือน ม.ค.นี้ คือตั้งคำถามกับวิธีการทำงาน ยุทธศาสตร์ในการกำหนดเป้าหมายทั้งหมด และวิธีการทำงานทั้งหมดว่าทำมาถูกต้องและถูกทางแล้วหรือไม่ ซึ่งได้ให้โจทย์ไปหลายข้อ รวมถึงให้หน่วยราชการช่วยกันคิด ทำไมสถานการณ์เกือบ 20 ปียังไม่มีทิศทางที่ดีขึ้นเท่าที่ควรจะเป็น ฉะนั้นหากยังไม่มีการทบทวนหรือประเมิน ก็จะเป็นแบบเดิม ถ้าไม่คิดวิธีใหม่ ผลก็จะเป็นแบบเดิม
“ดังนั้นจึงต้องมาทบทวนว่าที่ทำมาทั้งหมดเหมาะสมถูกต้องมากน้อยแค่ไหน จึงต้องรู้ว่ายุทธศาสตร์จะเป็นอย่างไร รวมถึงผู้เจรจา คือ หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฯ ที่ขณะนี้ยังไม่ตั้ง ผมเองเสนอว่าต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัด ถึงจะกำหนดยุทธวิธีจัดการปัญหา และตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำเนินการ เนื่องจากผมเองตั้งคำถามหลายเรื่อง และเป็นสิ่งที่ประชาชนเป็นห่วงอยู่ ซึ่งทางเลขาธิการ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) ก็รับปากว่าจะไปจัดการให้ได้คำตอบสิ้นเดือนนี้”
@@ มั่นใจ “ทักษิณ” นั่งที่ปรึกษา “อันวาร์” ส่งผลดีไฟใต้
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ไปทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จะส่งผลดีต่อการสร้างสันติสุขชายแดนใต้หรือไม่ นายภูมิธรรม ตอบว่า น่าจะส่งผลดีมากขึ้น ตนคาดการณ์แบบนี้ เพราะปัญหาชายแดนใต้มีมาเลเซียได้รับผลกระทบด้วย และเท่าที่ดูวันนี้ รัฐบาลมาเลเซียก็ปรารถนาให้พื้นที่ชายแดน 2 ประเทศมีความสงบ และเป็นพื้นที่ที่สามารถพัฒนาด้านเศรษฐกิจได้
“ดังนั้นความมุ่งหวังที่ตรงกัน และการมีคนไทยไปเป็นที่ปรึกษาเพื่อช่วยเหลือ ก็น่าจะทำให้เกิดผลประโยชน์แก่ประเทศไทย และสิ่งต่างๆ ไปในทิศทางที่บวกมากขึ้น การประสานเรื่องนี้ของมาเลเซียทั้งหมดมีท่าทีที่ดี แต่ขอไม่เปิดเผยในรายละเอียด ให้เป็นเรื่องในทางปฏิบัติมากกว่า หากพูดไปจะลำบากต่อการทำงาน” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุ
@@ สูญเสียจนได้! จ่าตำรวจเหยื่อบึ้ม “ป้ายหยุดตรวจ” สายบุรี
ด้านความคืบหน้าเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดแสวงเครื่องที่ซุกซ่อนไว้ในช่องใส่แบตเตอรี่ของป้ายไฟ “หยุดตรวจ” จนเกิดระเบิดขึ้นขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตั้งด่านตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ช่วง “7 วันอันตราย เทศกาลปีใหม่” บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านกะลาพอ ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 (นราธิวาส – ปัตตานี) ท้องที่บ้านเตราะบอน หมู่ 1 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย และมีเด็กชายวัย 3 ขวบโดนลูกหลงด้วย เหตุเกิดเมื่อช่วงสายของวันที่ 3 ม.ค.68 ที่ผ่านมานั้น
ล่าสุดวันจันทร์ที่ 6 ม.ค. มีรายงานว่า จ.ส.ต.ปัทพงศ์ เสียมไหม ผู้บังคับหมู่งานจราจร สภ.สายบุรี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหตุระเบิด และถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.หาดใหญ่) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้เสียชีวิตลงแล้วเมื่อเวลา 21.20 น. ของคืนวันอาทิตย์ที่ 5 ม.ค. สาเหตุเนื่องจาก จ.ส.ต.ปัทพงศ์ มีบาดแผลถูกสะเก็ดระเบิดหลายที่ ทั้งศีรษะ ลำตัว และขา โดยเฉพาะที่ศีรษะ มีสะเก็ดระเบิดบางชิ้นเจาะเข้าไปถึงเนื้อสมอง ทำให้อาการทรุดลงอย่างต่อเนื่อง แม้แพทย์และพยาบาลจะพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยื้อชีวิตไว้ไม่ได้ สร้างความเสียใจต่อครอบครัวและญาติมิตรของ จ.ส.ต.ปัทพงศ์ อย่างมาก