
ข่าวปรับ ครม.ที่ฝุ่นตลบกันมานานหลายสัปดาห์ กระทั่งล่าสุดข่าวว่าทูลเกล้าฯไปแล้ว ยังรุมทึ้งตำแหน่งกันไม่เลิก
ขณะที่โฉมหน้าบุคคลที่มีข่าวจะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ล้วนเป็น “หน้าเดิมทางการเมือง”
ทำให้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง ให้สมยารัฐบาลแพทองธารชุดใหม่ว่า “ครม.โต๊ะหมุน”
และท่ามกลางปัญหาด้านความมั่นคงที่รุมเร้า ทั้งชายแดนด้านตะวันออก “ไทย-กัมพูชา” และชายแดนด้านใต้ “สามจังหวัดปลายขวาน” แต่รัฐบาลกลับยังเล่นยักแย่ยักยัน อาจไม่ตั้ง รมว.กลาโหม ตัวจริง
ยิ่งทำให้อาจารย์สุรชาติ ให้ฉายางานความมั่นคงของรัฐบาลเพื่อไทยว่า “หัวหมุน”
ส่วนจะหมุนอย่างไร ติดตามอ่านจากบทความพิเศษ...
@@ ปัญหาปรับ ครม. และงานความมั่นคง
ในที่สุด โผคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็เสร็จสิ้นลง หลังจากกลายเป็นความคาดเดาบนหน้าสื่อ และในเวทีสาธารณะอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน
การปรากฏตัว ของ ครม. แพทองธาร ชุดใหม่นั้น อาจตั้งข้อสังเกตได้ ดังนี้
1.คณะรัฐมนตรีชุดนี้ ไม่น่าจะเรียกว่า “แพทองธาร 2” แต่น่าจะเรียกว่า “แพทองธาร 1.5” มากกว่า เพราะแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในทางการเมืองมากนัก
2.การจัดคนลงตำแหน่งรัฐมนตรี ยังมีสภาวะเป็น “โต๊ะหมุนทางการเมือง” คือ เป็น “political round table” ที่หมุนไปมากับกลุ่มนักการเมือง ที่ต้องหาตำแหน่งลงให้ได้ บางคนอาจเปรียบเทียบเป็น “เก้าอี้ดนตรีทางการเมือง” ที่หมุนไปมาเท่านั้นเอง
3.การจัดบุคลากรทางการเมือง ถูกกำหนดจากการเมืองในแบบ “โควตาพรรค” เพื่อให้เกิดการประนีประนอมทางการเมืองต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลผสม
4.ในอีกส่วน เห็นได้ชัดว่า การนำคนลงในตำแหน่งทางการเมืองไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า กระบวนการ “ต่อรองทางการเมือง” ของผู้นำทางการเมืองในแต่ละพรรค (หรือแต่ละ “มุ้ง” ที่อยู่ในพรรค) จึงต้องดำเนินการเพื่อลดแรงเสียดทานให้ได้มากที่สุด เพื่อให้รัฐบาลผสมไม่สะดุดลง
5.ในสภาวะที่ประเทศไทยมีปัญหาต่างๆ รุมเร้าทุกด้าน สังคมอยากเห็นคณะรัฐมนตรีที่จะเป็น “ประกายความหวัง” ของการพาประเทศไปสู่อนาคต แต่ด้วยความเป็นจริงของการเมืองตามโควตาพรรคของรัฐบาลผสมนั้น คำว่า “ดรีมทีม” จึงเป็นเพียง “ฝันกลางวัน” ที่ไม่เป็นจริง
6.น่าสนใจว่าในขณะที่ประเทศมีปัญหาความมั่นคงด้านกัมพูชาอย่างมากนั้น กลับไม่มีการตั้งตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” ซึ่งต้องถือว่าการปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่าง เป็นประเด็นที่น่าสนใจทั้งในทางการเมืองและการทหาร
7.ในกรณีของกระทรวงกลาโหมนั้น น่าสนใจที่เห็นถึงการสลับไปมาของรายชื่ออดีตนายทหารชั้นผู้ใหญ่ 2 นาย ที่สลับเปลี่ยนไปมาระหว่างนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 20 และ 21 และจบลงด้วยการไม่ตั้งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง แต่กลับมีรัฐมนตรีช่วยคนเดิมดำรงตำแหน่งต่อไป (รุ่น 20)
8.สภาวะเช่นนี้ น่าจะเป็นผลพวงจาก “ปัญหาการเมืองสนามไชย” ใน “ครม. แพรทองธาร 1” ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีท่าทีที่ต้องการผลักดันให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการใน “ครม.แพทองธาร 2” แต่ก็ดูจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก แรงสนับสนุนจึงทำได้เพียงให้รัฐมนตรีช่วยท่านนั้น อยู่ที่เดิม
9.น่าสนใจว่า บุคคลที่รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น มาจากโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพราะกระทรวงนี้เป็นโควตาของพรรคเพื่อไทย แต่รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงกลับมีท่าที “วิ่งเต้น” โดยเสมือนกับการยกเก้าอี้นี้ให้พรรคการเมืองอื่น ทั้งที่เป็นกระทรวงสำคัญ
10.การไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าภาพสะท้อนถึงการ “ไร้ความสนใจ” กับงานด้านความมั่นคงของประเทศของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
แต่ถ้า รัฐมนตรีช่วยได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกลาโหมจริงแล้ว ไม่เพียงสะท้อนการ “อุ้มสม” ที่รัฐมนตรีกลาโหมมาอุ้มไปบ้านผู้มีอำนาจของพรรคเพื่อไทย และยังต้องยกเครดิตให้กับ “อิทธิฤทธิ์” ของเครื่องเฮลิคอปเตอร์แบบ Black Hawk ที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยกลาโหมต้องใช้เดินทางไปราชการการที่สระแก้วด้วยกัน เพราะจะเป็นเวลาของการ “ขอตำแหน่ง” ที่ดีที่สุด เพราะต้องนั่งอยู่ในเครื่องด้วยกัน (ถ้าได้จริงแล้ว ต่อไปใครจะขอตำแหน่งต้องไปเครื่อง ฮ. กับนายกฯ !)
11.ในช่วงที่ไทยต้องเผชิญกับปัญหาความตึงเครียดเรื่องกัมพูชานั้น กระทรวงความมั่นคงที่สำคัญ 2 ส่วน ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากถึงความล่าช้า และความอ่อนแอในการรับมือกับปัญหากัมพูชา คือ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไม่แน่ใจว่า รัฐบาลได้มีการพิจารณาประเด็นนี้ในการปรับ ครม. เพียงใด
12.แม้จะมีเสียงวิจารณ์อย่างมากต่อบทบาทของ 3 บุคคลทางการเมือง คือ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีช่วยกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่การปรับ ครม. ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลเหล่านี้แต่อย่างใด
13.การดำรงอยู่ของตัวบุคคลเช่นนี้ ไม่ได้เป็นสัญญาณอะไรกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด หรือถ้าทำ ก็เป็นไปในแบบ “โมเดลโควิด” อาศัยการแถลงข่าวไปวันๆ เป็นภาพโฆษณาการแก้ไขปัญหานี้
14.ในขณะที่ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ปัจจุบันเริ่มทวีความเข้มข้นมากขึ้นนั้น การปรับ ครม. ครั้งนี้ ไม่ได้เป็นสัญญาณเชิงบวกกับแนวทางการแก้ไขปัญหาภาคใต้แต่อย่างใด
15.รัฐบาลโดยตัวนายกรัฐมนตรี ต้องระวังผลในเชิงจิตวิทยาการเมือง ที่คนในสังคมจะไม่ตอบรับกับการปรับ ครม. เช่นนี้ อันอาจส่งผลโดยตรงต่อสถานะของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้า
@@ ท้ายบท
การปรับ ครม. ครั้งนี้ ต้องระมัดระวังอย่าให้กลายเป็นความอึดอัดของประชาชน ที่วันนี้ผู้คนในสังคมต้องเผชิญปัญหาต่างๆ รอบด้านที่แทบจะไม่มีทางออก แต่ก็ยังมีความหวังสักหน่อยว่า การเมืองจะเป็นปัจจัยในการแก้ปัญหา
แต่สุดท้ายแล้ว ความหวังนี้อาจพังทลายไปกับ “เก้าอี้ดนตรีการเมือง” เท่านั้นเอง!
