เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นรายวัน และเพิ่มดีกรีความร้ายแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในห้วงเดือนสัญลักษณ์อย่าง “รอมฎอน” แม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ตามที่รองนายกฯ ภูมิธรรม เวชยชัย ว่าเอาไว้
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยิ่งสะท้อนว่า ปัญหาชายแดนใต้ไม่ได้ดีขึ้นเลย และการมีรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ก็ไม่ได้สร้างความหวัง หรือแสงสว่างใดๆ ที่ปลายอุโมงค์ ว่าสันติสุขจะเกิดขึ้นจริงในระยะเวลาอันใกล้นี้ด้วย
รวมไปถึงการลงพื้นที่ครั้งแรกในรอบ 20 ปีของอดีตนายกฯทักษิณ พร้อมกับการเอ่ยคำว่า “ขออภัย” ก็ไม่ได้มีนัยสำคัญใดๆ ต่อภาพรวมสถานการณ์
ณ เวลานี้ กระแสเสียงที่พูดกันอย่างเซ็งแซ่ และดังที่สุด คือการเรียกร้องให้รัฐบาลเดินหน้ากระบวนการพูดคุยกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งในที่นี้คือ ขบวนการ BRN โดยยอมรับตรงกันทุกฝ่ายว่า BRN คือขบวนการที่ควบคุมปฏิบัติการทางทหารต่อต้านรัฐไทยในพื้นที่เกือบ 100% มาตลอด 21 ปี
กระแสเรียกร้องให้เร่งกระบวนการพูดคุย เกิดขึ้นพร้อมๆ กับความหวังที่ว่า เมื่อคุยแล้วสถานการณ์ในพื้นที่จะดีขึ้น เหตุรุนแรงจะลดลง และเป็นจุดเริ่มต้นของสันติภาพ สันติสุข ภายใต้เงื่อนไขใหม่ๆ เช่น ข้อตกลงทางการเมืองและรูปแบบการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญไทย
แต่ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงความฝันกลางทุ่งลาเวนเดอร์ เมื่อมีเสียงเล็กๆ ที่คอยกระตุกเตือนว่า ระวังจะเป็นการเดินสู่ “หลุมพราง BRN”
โดยหนึ่งในเสียงที่เรียกร้องซ้ำๆ ให้รัฐบาลเร่งทบทวนยุทธศาสตร์และแนวทางดับไฟใต้ โดยที่ไม่ใช่การเร่งเปิดโต๊ะพูดคุยเจรจารอบใหม่ คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง
อาจารย์ย้ำว่าไม่ได้ขัดขวางกระบวนการเจรจา และยอมรับว่าการเจรจานำมาสู่ “บทจบ” หรือ “จุดสิ้นสุด” ของแทบทุกสงครามจริงๆ แต่…นั่น! มันคือภาพปลายทางที่เราเห็นเท่านั้น โดยที่เราไม่รู้ว่ามีกระบวนการก่อนที่จะเกิดโต๊ะเจรจาอย่างมากมายและซับซ้อนเพียงใด
ฉะนั้นเมื่อเงื่อนไขที่จะทำให้การเจรจาประสบความสำเร็จ ยังไม่เกิด การรีบกระโจนเข้าสู่โต๊ะเจรจา ก็คือการกระโดดเข้าสู่ “หลุมพราง” ที่อีกฝ่ายขุดดักเอาไว้…นั่นเอง
@@ หลุมพรางภาคใต้!
สถานการณ์ความรุนแรงในเดือนแห่ง “เทศกาลรอมฎอน” นั้น ปรากฏชัดเจนขึ้นในแบบ “ถี่ขึ้น-แรงขึ้น” จนดูเหมือนความหวังของฝ่ายรัฐไทยว่า เราจะเห็น “รอมฎอนแห่งสันติ” นั้น กลับกลายเป็น “รอมฎอนเลือด” แทน
และการก่อเหตุเช่นนี้ กำลังท้าทายต่อสถานะของตัวรัฐบาลเอง รัฐบาลโดยตัวนายกรัฐมนตรีจะตระหนักหรือไม่ก็ตาม ปัญหาภาคใต้กำลังบั่นทอนรัฐบาลแพทองธาร ไม่ต่างกับเมื่อครั้งปัญหาปล้นปืนบั่นทอนรัฐบาลทักษิณมาแล้ว
และปัญหานี้กำลังกลายเป็น “หลุมพราง” ที่ดักคอยรัฐบาลเช่นที่เกิดแล้วในปี 2547 ด้วย
กระนั้นไม่ชัดเจนว่า ปฏิบัติการทางทหารของ BRN เช่นนี้ จะช่วยปลุกรัฐบาลให้ตื่นจาก “ภวังค์แห่งความฝัน” ได้เพียงใด หรือรัฐบาลในความหมายของฝ่ายการเมือง และฝ่ายปฏิบัติโดยเฉพาะ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รวมถึง คณะบุคคลที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการเจรจาปัญหาภาคใต้ จะยัง “ตะบี้ตะบัน” ฝันแบบ “ลมๆแล้งๆ” กับสันติภาพของเทศกาลรอมฎอนจาก BRN อีกหรือ
นอกจากนี้ ดูเหมือนพวกเขามีความหวังว่า เราพร้อมจะเจรจา และเมื่อเจรจาแล้ว สงครามเรียกร้องเอกราชของ BRN จะยุติลงโดยเร็ว กล่าวคือ เชื่อแบบง่ายๆ ว่า การเจรจาคือ “กุญแจดอกใหญ่” ที่จะเปิดประตูสู่สันติภาพ
แต่ถ้าคิดเช่นนั้นจริง เราอาจต้องทำความเข้าใจในปัญหาการเจรจาเพื่อยุติสงคราม ดังข้อสังเกตต่อไปนี้
1.เป็นความจริงในจุดสุดท้ายของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีการใช้กำลังอาวุธเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ว่า “สงครามยุติด้วยการเจรจา” และมีนัยรวมถึงการก่อเหตุด้วยความรุนแรงในลักษณะของการต่อต้านรัฐ ก็ต้องมีการเจรจาเพื่อยุติปัญหาเช่นกัน
2.ดังนั้น ภาพของกระบวนการสันติภาพที่เราเห็นในข่าวหรือในสื่อต่างๆ แอบซ่อนกระบวนการก่อนที่จะดำเนินการมาถึงจุดนี้ไว้ และเป็นรายละเอียดที่มักจะไม่ปรากฏในเวทีสาธารณะ ดังเช่น การเจรจายุติการสงครามในกาซ่า และรายละเอียดเช่นนี้คือ การต่อสู้ทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างต้องการเอาชนะบนโต๊ะเจรจา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ฝ่ายตนต้องการมากที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่า การเจรจาคือ รูปแบบการต่อสู้ทางการเมืองชนิดหนึ่งของฝ่ายต่อต้านรัฐที่ใช้กันเป็นปกติทั่วโลก พวกเขายึดกุมหลักการว่า การเจรจาคือ การเอาชนะทางการเมืองคู่ขนานกับการต่อสู้ทางทหารในสนามรบ
3.ในบริบทของปัญหาภาคใต้ไทยก็ไม่แตกต่างกัน การเจรจาไม่ใช่ “ความฝันกลางทุ่งลาเวนเดอร์” ซึ่งผู้แทนรัฐไทย โดยเฉพาะในส่วนของ สมช. และคณะบุคคลที่ดำเนินการเตรียมเจรจาฯ จะต้องเรียนรู้ และยุติชุดวิธีคิดในแบบ “คุยไป ยอมไป / ยอมไป คุยไป” หรือเป็นชุดความคิดของ “ลัทธิยอมจำนน” ในมิติความมั่นคง ซึ่งในทางทฤษฎีคือ “Appeasement Policy” คือ มีความเชื่อที่สำคัญว่า “เรายอมโจร แล้วโจรจะยอมเรา” ทั้งที่กลุ่มติดอาวุธใช้หลักการ “คุยไป ฆ่าไป / ฆ่าไป คุยไป” เพื่อขับเคลื่อนการต่อสู้ของพวกเขา
4.กระบวนการเจรจาในการยุติสงครามและ/หรือความรุนแรงของการก่อเหตุด้วยกำลังอาวุธ เป็นการต่อสู้เพื่อ “ช่วงชิงความได้เปรียบทางการเมือง” ในบริบทของปัญหาภาคใต้ การเจรจาจึงไม่ใช่ “การเดินทางไปทัวร์ยุโรป” อย่างสุขสบาย ดังเช่น การไปรับข้อตกลง “JCPP” ที่กำกับโดยกลุ่ม NGO ยุโรป ทั้งที่เยอรมนี (ในชื่อของ “Berlin Initiative” หรือ “ความริเริ่มเบอร์ลิน”) และที่สวิตเซอร์แลนด์ (ในชื่อของ “Geneva Call” หรือ “ข้อเรียกร้องเจนีวา” -คำแปลของผู้เขียน) [หรือเชื่อว่า พา BRN ไปเที่ยวยุโรปแล้ว กลุ่ม BRN จะยุติการต่อสู้]
5.ผลจากเอกสาร JCPP ทำให้เกิดคำถามอย่างมีนัยสำคัญตามมาว่า ใครเป็นผู้ออกทุนเดินทางให้แก่ผู้แทน BRN เดินทางไปร่วมประชุมกับผู้แทนของฝ่ายไทยที่ยุโรป การประชุมนี้เกิดขึ้นทั้งหมดกี่ครั้งในต่างประเทศ และรัฐบาลไทยจนถึงปัจจุบันในฐานะองคพยพที่ดำรงอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐไทย ได้รับทราบเรื่องราวการประชุมนี้มากน้อยเพียงใด และจะกำหนดท่าทีต่อเอกสารนี้อย่างไร
6.นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์เข้ามาเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด และรัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศไทยรับทราบเรื่องนี้เพียงใด หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็น “ปฏิบัติการลับของ สมช.” ที่เป็นความลับทางราชการ แต่กลับเป็นที่รู้กันไปทั่วในจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า JCPP คือ ผลผลิตจากยุโรป ด้วยการ “ทำคลอด” ที่เบอร์ลิน
7.น่าสนใจว่า รัฐบาลยุโรปมีมาตรการที่เข้มงวดกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่งในประเทศของตน โดยเฉพาะในเยอรมนี แต่ทำไมกลับมีท่าที “โอบอุ้ม” กลุ่มมุสลิมสุดโต่งในไทย ท่าทีเช่นนี้อาจรวมถึงในกรณีของกลุ่มต่างๆ ที่มาจากตะวันตก เช่น ในกรณีของสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า BRN ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างแนวร่วมในเวทีสากล ฉะนั้น รัฐไทยไม่ควรจะละเลยประเด็นปัญหา “แนวร่วมสากล” ที่เข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และควรหาทางกำหนดท่าทีเรื่องนี้ในอนาคต
8.รัฐบาลไทยในขณะนั้น จนถึงรัฐบาลในปัจจุบันได้รับรู้ และได้ทำความเข้าใจกับเอกสารนี้มากน้อยเพียงใด หรือจะปล่อยให้เอกสารนี้เป็นเพียง “งานธุรการ” ของ สมช. และที่สำคัญกว่านั้น คือ การจะรับหรือไม่รับเอกสารนี้ รัฐบาลควรทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ ตลอดรวมถึงสอบถามความเห็นจากหน่วยงานความมั่นคง ในฐานะผู้ปฏิบัติ (ถ้าเป็นไปได้ อยากขอให้ฝ่ายการเมืองที่ต้องรับผิดชอบ ใช้เวลาอ่านและศึกษาเอกสารนี้ด้วยความใคร่ครวญ ถ้าไม่มีเวลา อาจหาอ่านได้จากเว็บไซต์ของสำนักข่าวอิศรา หรือดูคลิปข่าวของเนชั่น)
9.รัฐบาลโดยสถานะของความเป็นผู้กำหนดนโยบาย ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้นจากการรับ JCPP ที่ถูกนำเสนอโดย สมช.ไม่ได้ เพราะแม้จะไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากรัฐบาลปัจจุบัน แต่ในการประชุมเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้แทนของฝ่ายการเมืองในการประชุมดังกล่าว ได้แสดงท่าทีตอบรับกับเอกสารนี้
ดังนั้น รัฐบาลในฐานะฝ่ายการเมืองควรต้องกำหนดท่าทีต่อปัญหา JCPP ให้ชัดเจน และอย่าให้ JCPP กลายเป็น “หลุมพราง BRN” ที่ขุดเอาไว้ล่อรัฐไทย เพียงเพราะความไม่เข้าใจของฝ่ายการเมืองเอง
10.ในทางปฏิบัติ การเจรจาโดยตัวของมันเองไม่ใช่จุดจบของสงคราม เพราะสงครามจบลงด้วยปัจจัยที่สำคัญที่สุดทางทหารคือ คู่ความขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดศักยภาพที่จะทำการรบต่อ หรือในนัยของวิชาทหาร คือ การที่คู่สงครามหมดขีดความสามารถในการดำรงความริเริ่มในสนามรบ (คนเดือนตุลาฯที่อยู่ในอำนาจรัฐปัจจุบันต้องเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีที่สุด เพราะการสิ้นศักยภาพของ พคท. จึงทำให้สงครามคอมมิวนิสต์ในไทยต้องยุติลง สงคราม พคท. ไม่ได้จบลงด้วยการเจรจา แต่จบลงเพราะ พคท. รบต่อไปไม่ได้อีกแล้ว)
11.การเจรจาเพื่อที่จะยุติสงครามให้ได้จริงนั้น จะต้องเป็นผลจากการสิ้นศักยภาพในการรบของคู่พิพาทที่ไม่มีขีดความสามารถที่จะทำการรบต่อ ฉะนั้น ฝ่ายที่หมดศักยภาพจะถูกเงื่อนไขบังคับให้ต้องยอมรับการเจรจาเพื่อยุติสงคราม แต่ถ้าสภาวะเช่นนั้นยังไม่เกิดขึ้นแล้ว โต๊ะเจรจาคือ เวทีของการ “ช่วงชิง” ความได้เปรียบทางการเมือง ไม่ใช่หนทางของการปิดฉากสงคราม หากเป็นการใช้เวทีเจรจาคู่ขนานกับเวทีสงคราม
12.การเจรจาอาจเป็นจุดสิ้นสุดสงครามได้ ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐยอมรับความเป็นจริงของเงื่อนไขทางการเมือง-การทหารว่า โอกาสที่จะเดินไปถึงวัตถุประสงค์สุดท้ายของการตั้ง “รัฐเอกราชใหม่” นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การยุติสงครามเอกราชของกลุ่ม IRA ที่ต่อสู้กับอังกฤษมาอย่างยาวนาน หรือกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในแคว้นบาสก์ของสเปน (Basque) ที่ยุติการต่อสู้ เป็นต้น
แต่ BRN ยังไม่ถึงจุดดังกล่าว และยังสามารถใช้กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงในการสร้างสมาชิกใหม่ พร้อมทั้งจัดทำ “หลักสูตรใหม่” หรืออาจจะเรียกว่า “มินิ RKK” ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกการก่อการร้ายแบบเร่งรัด (ตั้งชื่อแข่งกับ “มินิ วปอ.” ของท่านนายกฯ!)
สุดท้ายนี้คงต้องยืนยันให้เกิดความชัดเจนว่า บทความนี้ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะขัดขวางการเจรจา หรือต่อต้านการตั้งบุคคลหนึ่งหรือคณะหนึ่งในการเตรียมเจรจา เป็นแต่เพียงอยากเห็นการเจรจาของฝ่ายรัฐไทยที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วย “ความอ่อนหัด” และดำเนินไปอย่าง “ไร้ทิศทาง” อันเป็นผลจากการขาดความเข้าใจของฝ่ายการเมือง
จนในที่สุด การเจรจาของผู้แทนฝ่ายไทยดำเนินไปในแบบ “คุยไป ยอมไป / ยอมไป คุยไป” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างผลตอบแทนทางยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แต่อย่างใด อีกทั้งการทำเช่นนั้นจะกลับกลายเป็นการพารัฐไทยไปตก “หลุมพราง BRN” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย !