พลิกคำวินิจฉัยศาล รธน.คดีหุ้นสื่อ‘ภาดา’ พปชร.เทียบ‘ธนาธร’เหมือนหรือต่าง?

PIC padatanatorn 25 11 63 11

พลิกคำวินิจฉัยศาล รธน.กรณีหุ้นสื่อ บ.ทาโร่ทาเลนท์ฯ ‘ภาดา วรกานนท์’ ส.ส.พปชร. เทียบ บ.วี-ลัค มีเดียฯ ‘ธนาธร’ ก่อนอ้างทำเหมือนกันไฉนไม่ผิด?

............................

“ผมมีพยานหลักฐานชี้แจงชัดเจน โดยเปรียบเทียบกับกรณีของ น.ส.ภาดา (วรกานนท์ ส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ) ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณีถือครองหุ้นบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด ประกอบกิจการการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางสื่อ ซึ่ง น.ส.ภาดา แจ้งว่าได้ปิดกิจการบริษัทไปแล้ว เช่นเดียวกับบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ที่ปิดกิจการไปแล้วเช่นกัน”

“นอกจากนี้บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ยังไม่มีรายได้ช่วงก่อนสมัครรับเลือกตั้ง เช่นเดียวกับบริษัทของ น.ส.ภาดา นี่คือมาตรฐานที่นำมาเปรียบเทียบกัน ถ้าหากใช้มาตรฐานนี้ ผมจะไม่ถูกตัดสินว่าผิด ขอให้ทุกฝ่ายลองเปิดใจ พิจารณาข้อเท็จจริง ยืนยันว่ามีพยานหลักฐานเอกสารชี้แจงครบถ้วนสมบูรณ์แบบ ส่วนกรณีกล่าวหาเรื่องการเดินทางนั้น ผมมีคลิปวีดีโอตอนหาเสียง และพยานหลักฐานมาหักล้างอยู่เช่นกัน”

เป็นคำยืนยันบางห้วงบางตอนของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ปัจจุบันเป็นประธานคณะก้าวหน้า ก่อนเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน กรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับนายธนาธร กรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 151 เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายธนาธร พ้นสภาพความเป็น ส.ส. เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2562 ที่ผ่านมา (อ่านประกอบ : มีหลักฐานหักล้างสมบูรณ์แบบ! 'ธนาธร'รับทราบข้อหาคดีหุ้นสื่อ-ยันไม่ผิดหากเทียบกรณี'ภาดา')

ประเด็นที่น่าสนใจคือ นายธนาธร เปรียบเทียบกรณีการถือครองหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด กับบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด ของ น.ส.ภาดา วรกานนท์ ส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ว่า ดำเนินการเหมือนกัน แต่ทำไมตัวเองถึงผิด แต่ น.ส.ภาดา รอด?

สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สรุปรายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องที่ 18-19/2563 กรณีวินิจฉัยการถือครองหุ้นสื่อของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล 32 ราย เฉพาะกรณีของ น.ส.ภาดา ผู้ถูกร้องที่ 20 ให้สาธารณชนรับทราบ ดังนี้

ผู้ร้อง (นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กับพวก) กล่าวอ้างว่า ผู้ถูกร้องที่ 20 (น.ส.ภาดา) ประกอบกิจการบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ข้อที่ 23 ข้อ 24 ข้อ 25 และข้อ 28 สาระสำคัญคือ ประกอบกิจการผลิต และให้บริการข้อมูลข่าวสาร ด้านการบันเทิง และอื่น ๆ ประกอบกิจการการบริการ และรับทำโฆษณา โทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ โทรสาร สิ่งพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งการให้บริการโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ประกอบกิจการโรงพิมพ์ พิมพ์ หรือรับจ้างพิมพ์ ออกหนังสือพิมพ์ วารสาร หนังสือ และสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศทุกภาษา

ส่วนผู้ถูกร้องที่ 20 ชี้แจงว่า บริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด ประกอบกิจการจัดฝึกอบรมค่ายเยาวชนหลักสูตร XYZ Academy ระหว่างวันที่ 23-27 ต.ค. 2560 และยังมิได้ประกอบกิจการและมีรายได้จากกิจการบริการ รับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ไม่มีผู้ใดว่าจ้างให้ประกอบกิจการดังกล่าว

ศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมาก เห็นว่า แบบ สสช.1 ระบุว่า ประกอบกิจการการบริการและรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม ส่วนแบบ ส.บช.3 รอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2560 ระบุว่า ผลิต และให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ด้านการบันเทิงและอื่น ๆ รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2561 ระบุว่า กิจกรรมบริหารจัดการและประมวลผลข้อมูล ส่วนหมายเหตุประกอบงบการเงินตั้งแต่ 6 ต.ค. 2560 (วันจดทะเบียนบริษัท) ถึง 31 ธ.ค. 2560 ระบุว่า บริษัทประกอบกิจการ บริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณา ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หมายเหตุประกอบงบการเงิน 31 ธ.ค. 2560 และ 2561 ระบุว่า บริษัทประกอบธุรกิจ บริการ และรับจัดทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนหมายเหตุประกอบงบการเงินตั้งแต่ 1 ม.ค.-18 มิ.ย. 2562 (วันจดทะเบียนเลิกบริษัท) ระบุว่า บริษัท ประกอบกิจการรับจัดทำโฆษณาประชาสัมพันธ์

จากการไต่สวน แม้ปรากฏว่า บริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการเกี่ยวกับการบริการ และรับทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ การโฆษณาตามสื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และประกอบกิจการจัดฝึกอบรม แต่จากแบบ ส.บช.3 รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2561 ระบุสินค้า/บริการที่ประกอบการว่า กิจกรรมการบริหารจัดการและประมวลผลข้อมูล

ประกอบกับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือ หจก. (แบบ ภงด.50) ปรากฏว่า งบกำไรขาดทุนสำหรับงวดบัญชีตั้งแต่ 1 ม.ค. 2562-18 มิ.ย. 2562 (วันจดทะเบียนเลิกบริษัท) บริษัทไม่มีรายได้ใด ๆ จากการให้บริการ และผลประกอบการขาดทุนสุทธิเป็นเงิน 97,415.51 บาท อีกทั้งเมื่อพิจารณารายได้ของบริษัทในปี 2560 เป็นรายได้ที่มาจากการประกอบกิจการจัดฝึกอบรม

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด มิได้ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ

PIC หุ้นสื่อภาดา 1

PIC หุ้นสื่อภาดา 2

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2563 พบว่า บริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2560 (ปัจจุบันเสร็จการชำระบัญชีแล้ว) ทุน 1 ล้านบาท แจ้งประกอบกิจกรรมการบริหารจัดการและประมวลผลข้อมูล ตั้งอยู่ที่ 99/12 อาคารซอฟต์แวร์ ปาร์ค ชั้น 24 ม.4 ถ.แจ้งวัฒนะ ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

ปรากฏชื่อนายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ น.ส.ภาดา วรกานนท์ และนางวรินดา เธียรอัจฉริยะ เป็นกรรมการ

แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2561 มีรายได้รวม 1,378 บาท รายจ่ายรวม 56,420 บาท ขาดทุนสุทธิ 55,041 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจคือ บริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ในช่วงที่นายธนาธร ถือหุ้น ทำธุรกิจแบบเดียวกับบริษัท ทาโร่ทาเลนท์ จำกัดของ น.ส.ภาดา หรือไม่?

ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2562 กรณีนายธนาธร ถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อ พบว่าศาลได้วินิจฉัยใน 5 ประเด็นสำคัญ สรุปได้ดังนี้

หนึ่ง การนำส่ง บอจ.5

ศาลเห็นว่าที่ผ่านมาในการโอนหุ้นของบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด มีหนังสือ บอจ.5 ส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยเร็วทุกครั้ง แต่การโอนหุ้นของนายธนาธร ให้นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา ที่อ้างวันที่ 8 ม.ค. 2562 กลับไม่ปรากฏการส่ง บอจ.5 แก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าแต่อย่างใด

ทั้งที่การส่ง บอจ.5 เป็นหลักฐานสำคัญ หากนายธนาธรมีความประสงค์เข้าสู่การเมือง การที่ไม่มีการส่ง บอจ.5 ต่อนายทะเบียน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงเป็นการผิดปกติที่เคยปฏิบัติมา ทั้งที่การโอนหุ้นครั้งนี้มีความสำคัญต่อการเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองของนายธนาธรอย่างยิ่ง เพราะถ้ามิได้โอนไปก่อนสมัครรับเลือกตั้ง ย่อมทำให้นายธนาธรมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3)

สอง การนำเช็ค 6.75 ล้านบาทขึ้นเงิน

นายธนาธร อ้างว่า นางสมพร ได้ชำระค่าหุ้นให้แก่นายธนาธร ด้วยเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา ถ.บางนา-ตราด เซ็นทรัลซิตี้ ฉบับวันที่ 8 ม.ค. 2562 สั่งจ่ายนายธนาธร เป็นเงิน 6.75 ล้านบาท ปรากฏนำฝากเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2562 ตรงกับวันที่ กกต. ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และใช้ระยะเวลานานถึง 128 วัน หลังจากวันที่ระบุในเช็ค

นายธนาธรอ้างว่า มีการนำเช็คเรียกเก็บเงินล่าช้าเช่นนี้ประจำ แต่เมื่อตรวจสอบย้อนหลัง 3 ปี พบว่า การเรียกเก็บเงินเช็คตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไประหว่างปี 2560-2562 มีการเรียกเก็บเงินตามเช็คหลังจากวันที่ลงในเช็คประมาณ 42-45 วัน แต่การเรียกเก็บเงินเช็คเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 กลับใช้เวลาถึง 128 วัน แสดงให้เห็นว่าเช็คเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 มีความแตกต่างจากที่ผ่านมา

แม้นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยานายธนาธร เบิกความว่า ช่วงนั้นตนไม่สะดวกไปเรียกเก็บเงิน เนื่องจากต้องดูแลบุตรที่ยังเป็นทารก และเป็นเช็คที่มีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ดีศาลเห็นว่า นางรวิพรรณ สามารถนำเช็คฝากเข้าบัญชีได้ตั้งแต่ 9 ม.ค. 2562 ข้ออ้างเรื่องการไม่นำเช็คตามทางปกติ จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือได้ เพราะเป็นเช็คชนิดระบุชื่อนายธนาธร ต้องนำเข้าบัญชีธนาคาร ไม่สามารถสลักหลังโอนได้ การนำเช็คขึ้น อาจมอบบุคคลอื่นดำเนินการแทนตนเองได้ จึงไม่ต้องรอเวลาถึง 4 เดือนเศษ

24112020 ๒๐๑๑๒๔
(นายธนาธร เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีอาญาหุ้นสื่อ เมื่อ 24 พ.ย. 2563)

สาม กรณีการโอนหุ้นระหว่างนางสมพร กับนายทวี จรุงสถิตพงษ์ (หลานบี)

การโอนหุ้นดังกล่าว นางสมพร อ้างว่า มีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ ในวันที่ 14 ม.ค. 2562 จำนวน 6.75 แสนหุ้น หุ้นเดิมของนายธนาธรให้แก่นายทวี หลานนางสมพร ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2562 นายทวี โอนหุ้นดังกล่าวกลับคืนนางสมพร

ข้อเท็จจริงที่ได้จากการไต่สวนปรากฏว่า การโอนหุ้นคืนดังกล่าว ไม่มีค่าตอบแทน โดยอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติ มีความย้อนแย้งและแตกต่างจากการโอนหุ้นระหว่างนางสมพร กับนายธนาธร ซึ่งมีความเป็นมารดากับบุตร กลับมีค่าตอบแทน

แม้นางสมพร ต้องการให้นายทวี มาแก้ปัญหาหรือฟื้นฟูบริษัทก็ตาม แต่การโอนหุ้นโดยไม่มีค่าตอบแทน ย่อมไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า โอนหุ้นจริงหรือไม่ มีเพียงพยานหลักฐานคือตราสารโอนหุ้น สมุดทะเบียน และใบหุ้น ต่างเป็นเอกสารที่บริษัท วี-ลัคฯ สามารถจัดทำขึ้นเองได้ในภายหลัง

สี่ กรณีลูกหนี้ในบริษัท วี-ลัคฯ

กรณีนางสมพร เบิกความว่า นายทวี ศึกษาแล้วต้องใช้เงินลงทุนอีกหลายล้านบาท จึงมีความประสงค์ปิดบริษัท และให้นายทวีโอนหุ้นกลับไปให้นางสมพร ข้อเท็จจริงส่วนนี้ ย่อมขัดกับปกติวิสัยกับนักลงทุนทั่วไปที่ประสงค์จะฟื้นฟูบริษัทต้องใช้ระยะเวลาศึกษาพอสมควร และลงมือตามแผนธุรกิจเสียก่อน เมื่อพิจารณาจากจำนวนเงินลงทุน หากเทียบกับฐานะเศรษฐกิจของนางสมพรแล้ว เห็นว่าเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้ยังขัดแย้งกับที่นายธนาธร อ้างว่า บริษัทมียอดหนี้ และสิทธิเรียกร้องประมาณ 11 ล้านบาท แต่ตามแบบนำส่งงบการเงินรอบปี 2561 เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2561 นำส่งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แจ้งว่า มีลูกหนี้การค้า และลูกหนี้อื่นเพียง 2.7 ล้านบาทเศษ จำนวนเงินดังกล่าวไม่ตรงกัน ประกอบกับหนี้จำนวนไม่มาก สามารถใช้ทนายความหรือบุคคลผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจดำเนินการได้ ทั้งการดูแลกิจการในครอบครัวไม่จำเป็นต้องโอนหุ้นก็ย่อมได้ การเป็นเพียงผู้ถือหุ้น ย่อมไม่มีอำนาจบริหารจัดการบริษัท และไม่มีสิทธิบริหารเงินสดแต่อย่างใด

การที่นายธนาธร อ้างว่า ได้โอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 โดยอ้างพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง ตราสารโอนหุ้น พบว่า เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกัน ใกล้ชิดกับนายธนาธร ประกอบกับเอกสารการโอนหุ้นของบริษัท วี-ลัคฯ ได้แก่ สำเนาเอกสารรับรองการโอนหุ้นที่มีทนายความรับรอง ตราสารการโอนหุ้น เช็คสั่งจ่ายค่าหุ้น สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัท ต้นขั้วเช็ค และต้นขั้วใบหุ้น ล้วนเป็นเอกสารที่บริษัท วี-ลัคฯ จัดทำ และเก็บรักษาไว้ที่บริษัท วี-ลัคฯ ทั้งสิ้น จึงกล่าวอ้างเจือสมเพื่อให้ตรงกับหลักฐานใน บอจ.5 ซึ่ง บริษัท วี-ลัคฯ ยื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในวันที่ 21 มี.ค. 2562 ซึ่งนางสมพร รับโอนหุ้น 6.75 แสนหุ้น กลับคืนมาจากนายทวีเท่านั้น

ห้า การเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ ถึง กทม.

นายธนาธร ชี้แจงว่า เดินทางกลับจาก อ.สะตึก จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 กลับมายังบ้านพักที่เล็กไซด์วิลล่า แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของนายธนาธร โอนหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ ให้แก่นางสมพร เห็นว่า แม้จะฟังได้ว่านายธนาธรเดินทางกลับจาก จ.บุรีรัมย์ มาบ้านพักในวันดังกล่วาจริง ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็รับฟังได้เพียงว่า นายธนาธร อยู่ กทม. เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่ามีการโอนหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ ในวันดังกล่าวจริง การพิจารณาโอนหุ้นเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2562 จริงหรือไม่ ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานอื่น ๆ ประกอบพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี

ด้วยประเด็นสำคัญข้างต้น นำไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 เสียงว่า เมื่อพิจารณาข้อพิรุธหลายประการดังกล่าว ประกอบพฤติการณ์ทั้งปวงแห่งคดี ฟังได้ว่า นายธนาธร ถือหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ ประกอบกิจการสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 อันเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต. อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้นายธนาธรใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) ทำให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) โดยเมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 จึงให้สมาชิกภาพ ส.ส. ของนายธนาธร สิ้นสุดลงในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือวันที่ 23 พ.ค. 2562

ทั้งหมดคือสาระสำคัญในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ‘กรณีหุ้นสื่อ’ ระหว่าง น.ส.ภาดา และนายธนาธร ที่ถูกนำมากล่าวอ้าง-เปรียบเทียบ และสังคมกำลังจับตาวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้!

ท้ายที่สุดบทสรุปคดีหุ้นสื่อของนายธนาธร จะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป

หมายเหตุ : ภาพประกอบ น.ส.ภาดา จาก https://www.naewna.com/

อ่านประกอบ :

มีหลักฐานหักล้างสมบูรณ์แบบ! 'ธนาธร'รับทราบข้อหาคดีหุ้นสื่อ-ยันไม่ผิดหากเทียบกรณี'ภาดา'

ต้นปี 63 ชัดเจน! กกต.ได้สำเนาคำวินิจฉัย ศาล รธน.คดีหุ้นสื่อแล้ว-สอบอาญา‘ธนาธร’ต่อ

กกต.คัดสำเนาคำวินิจฉัยศาล รธน.คดีหุ้นสื่อ‘ธนาธร’ นำมาวิเคราะห์ผิดอาญาหรือไม่

กกต.ลุยแจ้งข้อหาคดีอาญา‘ธนาธร’ปมรู้อยู่แล้วขาดคุณสมบัติแต่ยังสมัคร ส.ส. สัปดาห์หน้า

หลักฐานโอนหุ้นข้อพิรุธเพียบ! ศาล รธน.วินิจฉัยให้ 'ธนาธร'พ้น ส.ส. มีผล 23 พ.ค. 62

ฉบับเต็ม! คำพิพากษาศาล รธน.คดีหุ้นสื่อ‘ธนาธร’ พิรุธหลายจุด-เอกสารทำย้อนหลังได้?

ปัดมูลเหตุการเมือง! กกต.แจงปมชงศาล รธน.คดีหุ้นสื่อ‘ธนาธร’-ลุยสอบอาญาต่อ

8 ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ชำนาญการ-ผู้ช่วย ส.ส. พ้นตำแหน่งพร้อม ‘ธนาธร’ ?

4 ข้อสังเกต‘อิศรา’คดีหุ้น‘วี-ลัค มีเดีย’ สอดคล้อง คำวินิจฉัยศาล รธน.-หลักฐานเชิงประจักษ์