
ปปง.ยึดอายัดทรัพย์สิน 64 ล. ทั้งรถ Porsche, BMW, ทองคำ และแบรนด์เนม เงินฝาก 22 บัญชี แก๊งหลอกลงทุนแชร์ลูกโซ่ อ้างทำธุรกิจตู้เติมเงิน 'เคธี่ปันสุข' และซิมการ์ด K4 เสียหายกว่า 27 ล้านบาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย.244/2568 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2568 เรื่อง ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว รายคดีกลุ่มบุคคลที่มีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน กรณีหลอกลวงร่วมลงทุนตู้เติมเงินและซิมการ์ด
คดีนี้สืบเนื่องจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายกว่า 61 ราย ว่าถูกกลุ่มบุคคลชักชวนให้ร่วมลงทุนในธุรกิจบริหารโครงข่ายโทรศัพท์ โดยเสนอขายสินค้าคือ ซิมการ์ดโทรศัพท์ชื่อ 'K4' และ ตู้เติมเงินชื่อ 'ตู้เคธี่ปันสุข' กลุ่มผู้ต้องหาได้เสนอแพ็กเกจลงทุนตู้เติมเงินในราคาตู้ละ 40,000 - 50,000 บาท โดยอ้างว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงเป็นรายวัน และยังจะได้รับค่าคอมมิชชันหากนำตู้ไปวางให้บริการ แต่เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ผู้ลงทุนเริ่มไม่สามารถถอนเงินผลตอบแทนและเงินต้นคืนได้ ทำให้เชื่อว่าไม่มีการประกอบธุรกิจจริง แต่เป็นการนำเงินจากสมาชิกใหม่มาจ่ายสมาชิกเก่าในลักษณะแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายเบื้องต้นกว่า 27.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ
ทรัพย์สินที่ ปปง.มีคำสั่งยึดและอายัด จำนวน 133 รายการ รวมทั้งสิ้น 64,895,375.63 บาท (หกสิบสี่ล้านแปดแสนเก้าหมื่นห้าพันสามร้อยเจ็ดสิบห้าบาทหกสิบสามสตางค์) พร้อมดอกผล เช่น รถยนต์หรูพบรถยนต์ยี่ห้อ PORSCHE (มูลค่าเกือบ 8 ล้านบาท), รถยนต์ BMW หลายรุ่นจำนวนหลายคัน, รถยนต์ HAVAL และอื่นๆ สินค้าแบรนด์เนมกระเป๋าถือยี่ห้อดังจำนวนมาก Hermes, Louis Vuitton, Chanel รวมถึงนาฬิกาหรู Rolex, Hublot เครื่องประดับแหวนเพชร, สร้อยคอทองคำ, ต่างหู และกำไลข้อมือแบรนด์ Cartier, BVLGARI อสังหาริมทรัพย์และอื่นๆที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, เงินสด, และตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือจำนวน 258 ตู้ และเงินฝาก 22 บัญชี
@ เปิดรายละเอียดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงานจากกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (กก.4 บก.ปอศ.) ตามหนังสือ ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 เรื่อง รายงานเหตุอันควรเชื่อว่ามีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน รายบริษัทแห่งหนึ่ง และเรื่องร้องเรียนจากผู้อำนวยการฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ สมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการกับบริษัทดังกล่าว ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญาอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ กล่าวคือ
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 ได้มีกลุ่มผู้เสียหายจำนวน 61 ราย มาพบพนักงานสอบสวน แจ้งว่า บริษัท 2 แห่ง และนางสาวเริงฤดี มีพฤติการณ์ในการประกาศสู่สาธารณะว่าตนเป็นผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการบริหารโครงข่ายโทรศัพท์และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้บริการสินค้า คือ ซิมการ์ดโทรศัพท์ชื่อ K4 และตู้เติมเงินชื่อ ตู้เครี่ปันสุข ที่ให้บริการเติมเงินโทรศัพท์และจ่ายบิลต่าง ๆ
จากนั้นผู้ต้องหาได้ประกาศชักชวนบุคคลทั่วไปให้มาร่วมลงทุนกับบริษัท โดยเสนอผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยเสนอแพ็กเกจลงทุนตู้เติมเงินในอัตราตู้ละ 40,000 บาท และภายหลังในช่วงกลางปี พ.ศ. 2567 ได้เปลี่ยนเป็นตู้ละ 50,000 บาท ผู้ลงทุนที่ชำระเงินลงทุนแล้วจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นรายวัน ต่อมาในช่วงเดือนตุลาคม 2567 ผู้ลงทุนเริ่มเบิกถอนผลตอบแทนไม่ได้ และจนถึงปัจจุบันก็ไม่สามารถถอนผลตอบแทนและเงินลงทุนคืนได้ จึงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเชื่อว่าบริษัท ไม่มีกิจการที่จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้จริงตามที่ชักชวนไว้ แต่เป็นการนำเงินของผู้ลงทุนมาเวียนจ่ายคืนให้ผู้ลงทุนเอง ความเสียหายมูลค่าประมาณ 27,557,701 บาท
ต่อมาศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับนางสาวเริงฤดี และนางสาวพรพิมล ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) และ (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า บริษัทดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2568 และคำสั่งเลขาธิการฯ ที่เกี่ยวข้อง พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฎหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า บริษัทมีพฤติการณ์แห่งการกระทำอันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) และ (18) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542
และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 133 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ประกอบด้วยสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินสด โน้ตบุ๊ก โทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับแบรนด์เนม นาฬิกาข้อมือ พระเครื่อง และตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ อันเป็นทรัพย์สินที่ไม่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองสามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย รวมถึงสังหาริมทรัพย์ประเภทรถยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งผู้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองอาจดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้
@ สั่งยึดอายัดทรัพย์ชั่วคราว 133 รายการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรม ในการประชุม ครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรมว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2568 ข้อ 26
คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 133 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2569 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ยึดและอายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้ายคำสั่งนี้




Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา