
ป.ป.ช.เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหา 'พวก' อดีตผจก.การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคชัยภูมิ ขายหม้อแปลงแรงดันอัตโนมัติมิชอบเบียดบังเงินรายได้ไปเป็นประโยชน์ตนเอง ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบภาค 3 พิพากษาลงโทษ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ได้รอลงอาญา หลังรับสารภาพ-ไม่เคยต้องโทษจำคุก คืนเงินแล้ว สุขภาพไม่ดี สารพัดโรครุมเร้า ฟอกไต เบาหวานขึ้นตา นั่งรถเข็น
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เผยแพร่ความคืบหน้าผลคดีกล่าวหาอดีตผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยภูมิ กับพวก จัดการหรือจำหน่ายหม้อแปลงแรงดันอัตโนมัติหรือเครื่องควบคุมแรงดันไฟฟ้า (AVR) โดยมิชอบแล้วเบียดบังเงินรายได้ไปเป็นประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 , 8 และ 11 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566
โดยคดีนี้ ปรากฎชื่อ นายปรีชา ไกรบำรุง เป็นจำเลย
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 22 กรกฏาคม 2568 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 มีคำพิพากษาว่า นายปรีชา ไกรบำรุง จำเลย มีความผิดตามกฎหมาย ลงโทษตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4
จำคุก 5 ปี ปรับ 40,000 บาท
จำเลย ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุลดโทษเหลือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท
พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบรายงานสืบเสาะและพินิจจำเลยแล้ว ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ชำระเงินค่าหม้อแรงดันอัตโนมัติบางส่วน 116,205 บาท คืนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดชัยภูมิ
พอถือได้ว่าจำเลยสำนึกแก่โทษ ประกอบกับสุขภาพไม่ดี เป็นโรคเบาหวานความดันโลหิตสูง ไตวายเรื้อรัง แพทย์นัดฟอกไตตลอด ภาวะเบาหวานขึ้นตา ทำให้ตาขวาบอดสนิก ส่วนตาซ้ายมองเห็นภาพเลือนลาง ลุกนั่งด้วยตนเองไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นมีภริยาเป็นผู้ดูแล
เพื่อให้จำเลยมีโอกาศอยู่กับครอบครัวในบั้นปลายของชีวิตโทษจำคุก จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี
เบื้องต้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีการประชุมเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มติเห็นชอบในกรณีที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษา
สำหรับพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4 ระบุว่า ผู้ใดเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา