'สมศักดิ์' เข้าร่วมประชุมแพทยสภาแล้ว หวังอธิบายทำความเข้าใจ ปัดกดดัน ชี้มาตรา 24 ให้อำนาจเข้าร่วมได้อยู่แล้ว ลั่นจุดยืนปกป้องวิชาชีพแพทย์ - รักษามาตรฐานบทลงโทษที่เหมาะสม ไม่หวั่นแม้โดนกดดันทุกรูปแบบ เวลา 15 นาที แม้น้อย แต่จะทำเพื่อหมอ คนหนุ่ม-สาว ม็อบโห่ไล่ตั้งแต่ลงจากรถ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ เปิดเผยก่อนเข้าร่วมประชุมแพทยสภาว่า การประชุมในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาความเห็นของตน ที่ได้ยับยั้งมติการลงโทษแพทย์ทั้ง 3 คน เพื่อจะลงมติว่ายังยืนยันความเห็นเดิม ต่อไปหรือไม่ ซึ่งตนในฐานะสภานายกพิเศษ ก็จะใช้อำนาจตามมาตรา 24 ของพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ที่ระบุให้สภานายกพิเศษจะเข้าฟังการประชุม และชี้แจงแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการ หรือจะ ส่งความเห็นเป็นหนังสือไปยังแพทยสภาในเรื่องใดๆ ก็ได้ และขอเท้าความว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2568 คณะกรรมการแพทยสภาลงมติลงโทษหมอ 3 คน 1.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ถูกสั่งลงโทษว่ากล่าว ตักเตือน 2.พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ ถูกสั่งลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 3.พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ ถูกสั่งลงโทษพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามกฎหมาย มาตรา 25 ดังนั้น การลงโทษ ต้องเสนอเรื่องให้สภานายกพิเศษแพทยสภา เห็นชอบ ตามมาตรา 25 ซึ่งตนมีเวลาในการพิจารณาเพียง 15 วัน หลังจากแพทยสภาเสนอเรื่องมา จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษเพื่อพิจารณาตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อช่วยทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจากมีเวลาสั้น และตนไม่ได้เชี่ยวชาญ ด้านกฎหมาย แต่ว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากนั้นได้มีการเรียกเอกสารเพิ่มเติมจากแพทยสภาไปอีก 3 ครั้ง มีทั้งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ที่ไม่ได้คือเอกสารการ พิจารณาของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรม ด้วยเวลาที่จำกัด จึง พิจารณาตามเอกสารที่มี และวีโต้มติแพทยสภากลับไป ตามอำนาจในมาตรา 25 พ.ร.บ. วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 ซึ่งชี้แจงเหตุผลว่าทำไมแพทย์ไม่ควรถูกลงโทษ ดังนั้น วันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่กรรมการแพทยสภาจะได้รับฟังเหตุผลและทำความเข้าใจในรายละเอียด ที่ตนใช้อำนาจ ยับยั้งมติ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญก่อนที่จะพิจารณาลงมติวันนี้ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ตนเดินทางมาร่วมประชุม เพื่อชี้แจงด้วยตัวเอง
"ช่วงเวลาที่ผ่าน ผมถูกโจมตี ทั้งถูกข่มขู่จะให้แพทย์ลงชื่อถอดถอนผมจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปจนถึงจะให้ ป.ป.ช. มาเอาผิด แม้กระทั้งเมื่อวานนี้ ยังมีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มมากดดันผมถึงกระทรวงสาธารณสุข และให้กำลังใจแพทยสภา รวมทั้งกล่าวหาผมว่าจะเข้าร่วมประชุมเพื่อกดดันมติแพทยสภา ทั้งที่ตามมาตรา 24 ของพ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรมฯ ให้อำนาจไว้ ขอยืนยันว่าทุกอย่างที่ทำผมยืดหลักกฎหมาย แต่การกล่าวหานั่นต่างหากคือการบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดในตัวผมเป้าหมายการทำหน้าที่ของผม ไม่ใช่เพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เพื่อเป็นการคุ้มครองและให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ที่ถูกลงโทษ และคงไว้ซึ่งมาตรฐานการลงโทษที่เหมาะสมและควรจะเป็นเท่านั้น" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ การทำหน้าที่ของแพทยสภาในสายตาประชาชน ก็สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความคิดเห็นจากนิด้าโพลพบว่า 38.40% ไม่ค่อยเชื่อมั่น 15.95% ไม่เชื่อมั่นเลย ซึ่งเท่ากับไม่มีความเชื่อมั่นกว่า 54% จึงขอให้การทำงานในวันนี้ ยึดความเป็นธรรมใน วิชาชีพ เราต้องเรียกความศรัทธาของประชาชนและสังคมกลับมาให้ได้อย่าปล่อยให้สังคมมองว่าเราไม่มีความเป็นธรรม หรือใช้องค์กรเพื่อทำลายวิชาชีพกันเอง
@ สมศักดิ์ ลั่นทำเพื่อแพทย์ คนหนุ่ม-สาว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ยังระบุด้วยว่า นายกแพทยสภากำหนดเวลาให้ชี้แจงเพียง 15 นาที แม้เวลาน้อยแต่จะพยายามทำความเข้าใจเพราะมีเอกสารส่วนหนึ่งให้กรรมการได้อ่านและทำความเข้าใจ ส่วนผลตัดสินจะเป็นอย่างไรก็เป็นอำนาจหน้าที่ของแพทยสภาในการพิจารณา
“ผมจะทำเพื่อแพทย์ คนหนุ่มคนสาว ทำให้คนที่อยู่ในวิชาชีพนี้ไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง หรือเป็นอย่างอื่นเรื่องนี้ผมตัดสินใจด้วยตัวเอง” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนเป็นห่วงการลงมติของแพทยสภาที่มีม็อบมาบีบบังคับ ไม่ได้ห่วงตนเอง ส่วนเวลา 15 นาทีเพียงพอหรือไม่นั้น ก็จะทำให้ดีที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบรรยากาศเมื่อนายสมศักดิ์เดินทางมาถึงมีกลุ่มมวลชนยืนร้องโห่ไล่ ตั้งแต่ลงจากรถจนก้าวเข้ามาในตัวอาคารก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม
ขณะที่ ทีมงานนายสมศักดิ์ ได้เผยแพร่คำแถลงการณ์ของนายสมศักดิ์ ที่จะแถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ให้สื่อมวลชน ระบุสาระสำคัญว่า นายสมศักดิ์มีความคาดหวังว่ากรรมการทุกคนที่มาลงมติจะมิได้เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หากแต่เป็นผู้ที่สามารถคงไว้ได้ซึ่งความเป็นกลาง ส่วนความเห็น ยับยั้งมติลงโทษ มิได้เกิดจากความเห็นส่วนตัวหรือการวินิจฉัยอย่างผิวเผิน หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบด้าน ขณะที่ในช่วงเวลานี้มีผู้คนจํานวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจะเชื่อว่าการลงโทษหมอสามคนนี้ เป็นการ “ตีวัวกระทบคราด” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจําคุกเพียง 1 ปี
พร้อมเรียกร้องให้การประชุมวันนี้ คณะกรรมการแพทยสภาช่วยกันตัดสิน ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่ในฐานะกรรมการ เพียงอย่างเดียวซึ่งตนเองเชื่อเสมอว่าความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด
@ เรื่องทักษิณจบไปแล้ว นี่เป็นเรื่องการลงโทษแพทย์
นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการแพทยสภาว่า ตนได้ใช้ 15 นาที ในการเอาเอกสารที่มีมา 10 หน้า และเอกสารจากฝ่ายกฎหมาย 2 หน้าเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดกรณีผู้มีสิทธิในการเข้าประชุม ส่งให้กับคณะกรรมการแพทยสภา โดยได้อธิบายต่อที่ประชุมในเรื่องที่เคยได้พูดไป เรื่องของการลงโทษแพทย์ และเพิ่มเติมในส่วนของจริยธรรม หากการลงโทษครั้งนี้เกิดเป็นบรรทัดฐานใหม่ ลูกหลานของคนไทยที่เป็นแพทย์ จะขาดความมั่นใจในการรักษาผู้คนหรือไม่อย่างไร แล้วจะเป็นอันตรายที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ขาดโอกาส
“อย่างเช่นโรงเรียนแพทย์ที่มีการส่งผู้ป่วยจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เราส่งไป 1 โรค แต่เขาดูกลับมา 3 โรค ค่ารักษาก็เพิ่มขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับ นั่นเป็นเรื่องของการเอาใจใส่ดูแล ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรมาก เราก็ต้องจ่ายเงินไปตามที่เขารักษาด้วย ฉะนั้นในข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ ผมก็ได้เน้นย้ำในคณะกรรมการสอบสวนจริยธรรม ที่มี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภา เป็นประธานฯ ใช้เวลา 5 เดือนกว่ากับการส่งคำพิจารณาโทษ แล้วอยู่ๆ ก็เป็นคณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มีการประชุมกันเพียง 7 วัน ก่อนที่มีการประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึง 1 วัน เห็นมีคนบอกว่าไม่ถึง 3 ชั่วโมงด้วย แต่มีการปรับแก้โทษหมดเลย และคณะกรรมการแพทยสภาก็ไม่ได้อ่านโดยละเอียด ก็ลงโทษไปในแนวทางนี้ ผมก็มาให้แนวต่างๆ โดยย้ำว่า หากเกิดขึ้นกับลูกหลานเขาเอง หรือถ้าเขามีความรู้สึกมันผิดอยู่ในใจบ้างเล็กน้อย ก็ทบทวนเถอะ ผมก็ใช้เวลาเต็มที่เท่าที่ได้” นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คณะกรรมการแพทยสภาไม่ได้สอบถามอะไร เป็นหน้าที่ตนไปชี้แจงในเวลา 15 นาที เมื่อหมดเวลาก็ต้องออกตามมารยาท ซึ่งตนได้เปิดผลสำรวจความเชื่อมั่นของแพทยสภาว่าลดลง มีคนไม่เชื่อมั่นถึง 54% ซึ่งถ้าเราเดินไม่ดี องค์กรที่น่าเชื่อถือก็จะโดนลดความน่าเชื่อถือลงไป
ส่วนกรณีการตั้งคำถามว่าสภานายกพิเศษฯ มีไว้ทำไม นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมองว่าตำแหน่งนี้ มาทำตามหน้าที่ เพราะถ้าตนไม่มาก็จะถูกร้องเรียนได้ เพราะสมัยนี้คนที่ร้องเรียน เขาก็จ้องที่จะร้องเรียน การทำหน้าที่ก็ไม่ได้สบายนัก ต้องทำการบ้าน เราก็ทำให้ดีที่สุดมีงานมากก็เหนื่อยมาก ส่วนการปรับเปลี่ยนยกเลิกตำแหน่ง ก็ต้องไปแก้กฎหมายใหม่ ซึ่งต้องใช้เวลา
“บางทีเป็นงานที่เกี่ยวกับคนทะเลาะกัน อย่างผมจะไปทะเลาะกับใคร เกิดมาในชีวิตเป็นนักการเมืองนานแล้ว ผมทำหน้าที่ ผมมีผลกระทบกับนักการเมืองด้วยกันน้อยที่สุด ผมพยายามทำอะไรที่เป็นหน้าที่ของเรา อะไรไม่ใช่หน้าที่ก็อย่าไปยุ่งของผู้อื่นเขา” นายสมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีสังคมตั้งคำถามว่า นายสมศักดิ์กำลังอุ้มแพทย์ที่ช่วยเหลือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่หรอก เพราะในเรื่องของท่านอดีตนายก จบแล้วผ่านไปแล้ว แต่ว่าการลงโทษแพทย์ จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ ลูกหลานคนเรียนแพทย์ก็จะสะดุ้ง กลัว หนาวสั่นกันไปเปล่าๆ เพราะการทำด้วยเจตนาดี
@ หมอตุลย์ ชี้เหตุผลวีโต้ สมศักดิ์ ไม่มีน้ำหนักพอ
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ สมาชิกแพทยสภา และแกนนำคนหลากสี กล่าวว่า ตนเดินทางมาเพื่อสังเกตการณ์มติในวันนี้และต้องการมาเพื่อทราบว่า รมว.สมศักดิ์ มีเหตุผลอะไร ในการวีโต้แต่เท่าที่ดูจากเอกสารไม่มีน้ำหนักที่พอจะทำให้กรรมการแพทยสภาเปลี่ยนมติจากวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนที่นายสมศักดิ์เคยกล่าวว่าไม่อยากให้บทลงโทษถึงขั้นรุนแรงขนาดนั้น นพ.ตุลย์ กล่าวว่า การให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง ผิดมาตรา 16 ของข้อบังคับโทษ ว่าด้วยการรักษาจริยธรรมของผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรมเนี่ย โทษครั้งแรกสุดก็คือ 6 เดือน เพราะฉะนั้นในกรณีของ นพ.โสภณรัชต์ที่ให้สัมภาษณ์ ก็เลยโทษว่าเป็น 3 เดือน แต่ถ้าเป็นเอกสารตรงๆ ชัดเจนเนี่ยก็เป็น 6 เดือน
"การประชุมรอบนี้มีการกดดันแพทยสภา เป็นพิเศษ ผมเชื่อว่าแพทยสภาไม่หวั่นไหว เพราะว่าการตัดสินมันเป็นการเทียบระหว่างสิ่งที่ปฏิบัติ ซึ่งเราได้จากการให้ปากคำ เราได้จากเอกสาร 300หน้าจากกรมราชทัณฑ์ แล้วก็จาก รพ.ตำรวจเอามาเทียบกับมาตรฐาน" นพ.ตุลย์ กล่าว
@ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
ในส่วนที่ รมว.สธ. ยกผลสำรวจนิด้าว่าประชาชน 50% ไม่มีความเชื่อมั่นในแพทยสภา นพ.ตุลย์ กล่าวว่า ขอประชาชนมั่นใจในวิชาชีพแพทย์เป็นองค์กรที่สำคัญร่วมกับโรงเรียนแพทย์ทำหน้าที่สอนนิสิตแพทย์ เป็นองค์กรที่ตั้งมาตรฐานและหากแพทย์ทำผิดก็มีบทลงโทษ ซึ่งที่ผ่านมาอาจมีเรื่องแชทไลน์หลุดมองว่าเป็นเรื่องปุถุชนมากกว่า
นพ.ตุลย์ กล่าวถึงการลงคะแนนเสียงควรเปิดเผยหรือไม่นั้น ว่า ที่ผ่านมาตาลงมติจะเป็นแบบเปิดเผยโดยการยกมือส่วนจะมีใคร จะมาเปิดเผยทีหลังก็อาจจะไม่เหมาะสม แต่หวังว่ากรรมการทั้ง 69 ท่านอยากให้ลงคะแนนเหมือนกันทั้ง 69 เสียงเป็น 69 ต่อศูนย์จะได้ไม่ต้องมานั่งเดาว่าใครไม่ได้ลงคะแนน และเรื่องนี้ก็ไม่ได้ยากเกินจะตัดสิน เพราะเป็นการเทียบระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมาตรฐาน เพราะประชาชนทั่วไปก็ตัดสินได้
นพ.ตุลย์ กล่าวถึงกรณีควรมีการแก้ไขกฎหมายให้ไม่มีสภานายกพิเศษฯว่า อยู่ที่ว่าบุคคลนั้นทำหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ ตามบทบาทที่ตนตนเองมี อย่างบทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็มีสถานะสถานการณ์โควิดและปัญหาในโรงพยาบาลควรติดตามเรื่องนี้ ส่วนบทบาทของการเป็นสภานายกพิเศษควรใช้ตำแหน่งอย่างถูกต้อง
"ตำแหน่งนายกพิเศษฯมีความสำคัญด้านการบริหารนโยบายหรือไม่ ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสม check & balance กรรมการทุกท่านมีวิจารณญาณ เอาความคิดเห็นของสภานายกพิเศษ เอามาเทียบกัน ชั่งน้ำหนักว่าอันไหนมีเหตุผลมากกว่ากัน" นพ.ตุลย์ ระบุ