"...ส่วนการกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติในคดี นี้เป็นการดำเนินการกับเจ้าของที่แท้จริงในหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความรับผิดทางภาษีอากร โดยมีหลักกฎหมายในการพิจารณาที่แตกต่างกัน ข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น..."
การออกตั๋วสัญญาใช้เงินมูลค่ากว่า 4,400 ล้านบาท ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อชำระค่าหุ้นให้แก่มารดา พี่น้องและลุงบุญธรรม กลายเป็นประเด็นที่ร้อนฉ่าในการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีทันที
เมื่อมีการกล่าวหาว่าการออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วพีเอ็น ดังกล่าวเป็นนิติกรรมอำพราง การโอนหุ้นจำนวน 9 บริษัท เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับ หรือให้ตามประมวลรัษฎากร
แต่น.ส. แพทองธาร ชี้แจงว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใดๆยอดหนี้(ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
“ เรื่องตั๋วพีเอ็นไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่ทำกันมาเป็นเรื่องปกติ.. การออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะทำกับธุรกรรมที่ถูกกฎหมาย ดำเนินการเปิดเผย ฝ่ายผู้ซื้อผู้ขายรับภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะการกระทำนอกกฎหมายที่ไหนออกหลักฐานเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่ระบุที่มาของเงินไม่ได้ ก็ไม่สามารถทำได้..”
อย่างไรก็ตามถ้าติดตามการทำธุรกิจของครอบครัวชินวัตร ตั้งแต่ยุคนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จะพบว่าครอบครัวชินวัตรใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน ในการโอนหุ้นชินคอร์เปอเรชั่นหรือชินคอร์ปมูลค่าหลายหมื่นล้าน ให้กับลูกๆ น้องสาว และพี่บุญธรรมโดยอ้างว่าเป็นการซื้อขาย
แต่จากคำพิพากษา ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดี หมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน หรือคดียึดทรัพย์นายทักษิณ ชินวัตร 46,737 ล้านบาท เห็นว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงขอนำส่วนหนึ่งของคำพิพากษาดังกล่าวมานำเสนออย่างละเอียด เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินของ น.ส.แพทองธาร เป็นไปตามที่พรรคฝ่ายค้านกล่าวหาหรือเป็นไปตามที่ น.ส.แพทองธารชี้แจง
***********
คดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการวินิจฉัยกรณี ผู้ถูกกล่าวหา(นายทักษิณ ชินวัตร)กับผู้คัดค้านที่ 1(คุณหญิงพจนมาน ชินวัตร) ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419,490,150 หุ้น โดยให้ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 (นายพานทองแท้ ชินวัตร น.ส.พิณทองทา ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์)และบริษัทแอมเพิลริชถือแทนตามคำร้องหรือไม่
@ คตส.สอบซื้อขายและโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป
ในปัญหาดังกล่าวนายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ ในฐานะกรรมการตรวจสอบ (คตส.) และประธานอนุกรรมการตรวจสอบการซื้อขายและโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปเบิกความประกอบบันทึกข้อความเรื่องการถือครองหุ้นบริษัทชินคอร์ปของผู้ถูกกล่าวหากับพวกและรายงานการไต่สวนว่า ตามบัญชีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทชินคอร์ป ณ วันที่ 10 เมษายน 2541 ปรากฏ การถือหุ้นของผู้ถูกล่าวหากับพวกในราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท ดังนี้
ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้น 32,920,000 หุ้น ผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 34,650,000 หุ้น และผู้คัดค้านที่ 5 จำนวน 6,847,395 หุ้น เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 บริษัทชินคอร์ปมีมติให้เปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วของบริษัทด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากหุ้นที่ยังมิได้จัดสรรเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนในราคาหุ้นละ 15 บาท วันที่ 16 มีนาคม 2542
ผู้คัดค้านที่ 1 ถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน เพื่อซื้อเช็กธนาคาร 3 ฉบับ นำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนในนามผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 34,650,000 หุ้น เป็นเงิน 519,750,000 บาท ในนามผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 32,920,000 หุ้น เป็นเงิน 493,800,000 บาท และในนามผู้คัดค้านที่ 5 จำนวน 6,809,015 หุ้น เป็นเงิน 102,135,225 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 5 ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน ลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 สัญญาจะจ่ายเงิน 102,135,225 บาทให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
หลังจากมีการเพิ่มทุนแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาถือหุ้น จำนวน 65,840,000 หุ้น ผู้คัดค้านที่ 1 ถือหุ้น จำนวน 69,300,000 หุ้น และผู้คัดค้านที่ 5 ถือหุ้น จำนวน 13,618,030 หุ้น
@ ออกตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งครอบครัว
วันที่ 11 มิถุนายน 2542 ผู้ถูกกล่าวหาโอนขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จำนวน 32,920,00 หุ้น ให้แก่บริษัทแอมเพิลริชราคาหุ้นละ 10 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2542 จ่ายบริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส จำกัด จำนวน 330,961,220 บาท เพื่อชำระค่าหุ้น แล้วบริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส จำกัด สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนรัชดาภิเษก (สุขุมวิท – พระรามสี่) ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2542 จำนวน 327,438,780 บาท เป็นค่าขายหุ้นให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา แล้วเช็คฉบับดังกล่าวได้นำฝากเข้าเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีผู้คัดค้านที่ 1 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักรัชโยธิน
ต่อมาผู้ถูกกล่าวหา ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 รายงานต่อสำนักงาน กลต. ตามแบบ 246 – 2 ว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่ผู้ซื้อโดยตรงในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยผู้ถูกกล่าวหาขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 30,920,000 หุ้น และขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 4 จำนวน 2,000,000 หุ้น
ผู้คัดค้านที่ 1 ขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 42,475,000 หุ้น และขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 จำนวน 26,825,000 หุ้น
ผู้คัดค้านที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 1 กันยายน 2543 สัญญาจะจ่ายเงิน 309,200,000 บาท ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา และสัญญาจะจ่ายเงิน 424,750,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านที่ 4 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 1 กันยายน 2543 สัญญาจะจ่ายเงิน 20,000,000 บาท ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาเมื่อทวงถาม โดยไม่มีดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านที่ 5 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 1 กันยายน 2543 สัญญาจะจ่ายเงิน 268,250,000 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2544 บริษัทชินคอร์ปยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนมูลค่าหุ้นที่ได้ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท เป็นผลให้ผู้ถือหุ้นเดิมมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า คือ
ผู้คัดค้านที่ 2 ถือหุ้น จำนวน 733,950,220 หุ้น
ผู้คัดค้านที่ 5 ถือหุ้น จำนวน 404,430,300 หุ้น
บริษัทแอมเพิลริชถือหุ้น จำนวน 329,200,000 หุ้น
และผู้คัดค้านที่ 4 ถือหุ้น จำนวน 20,000,000 หุ้น
ต่อมาผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 รายงานต่อสำนักงาน กลต. ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ซื้อโดยตรงในราคาหุ้นละ 1 บาท โดยขายเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2545 จำนวน 367,000,000 หุ้น และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2546 จำนวน 73,000,000 หุ้น
ผู้คัดค้านที่ 2 คงเหลือหุ้นจำนวน 293,950,220 หุ้น ผู้คั ดค้านที่ 3 ถือหุ้นรวม จำนวน 440,000,000 หุ้น
และเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2549 ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ในฐานะกรรมการบริษัทแอมเพิลริชได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชถืออยู่ทั้งหมด จำนวน 329,200,000 หุ้น ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 คนละ 164,600,000 หุ้น
เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 หุ้นบริษัทชินคอร์ปทั้งหมดที่มีชื่อผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ถืออยู่ได้ขายให้แก่บริษัทซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด รวมจำนวน 1,487,740,120 หุ้น ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท โดยรายการเฉพาะหุ้นที่รับโอนมาจากผู้ถูกกล่าวหา ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยใช้เงินของผู้คัดค้านที่ 1 และที่รับโอนจากบริษัทแอมเพิลริชในชื่อผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 458,550,000 หุ้น ผู้คัดค้านที่ 3 จำนวน 604,600,000 หุ้น ผู้คัดค้านที่ 4 จำนวน 20,000,000 หุ้น และผู้คัดค้านที่ 5 จำนวน 336,340,150 หุ้น รวมจำนวน 1,419,490,150 หุ้น
เมื่อหักค่านายหน้าร้อยละ 0.25 และภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 แล้ว คงเหลือค่าหุ้นสุทธิ 69,722,880,932.05 บาท และหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ดังกล่าวได้รับเงินปันผลระหว่างปี 2546 ถึงปี 2548 รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 6,898,722,129 บาท
ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
คณะอนุกรรมการไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาคงถือหุ้นไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชินคอร์ป รวมทั้งบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง เอกสารจาก สำนักงาน กลต. และรายงานประจำปี 2543 ถึงปี 2549 ของบริษัทชินคอร์ป กับการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว สรุปความเห็นว่า เมื่อครั้งผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสองวาระ ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ยังถือหุ้นไว้ซึ่งหุ้นในบริษัทชินคอร์ป โดยใช้ชื่อผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 และบริษัทแอมเพิลริชเป็นผู้ถือหุ้นแทน ต่อมาวันที่ 23 มกราคม 2549 ผู้ถูกกล่าวหาได้รวบรวมหุ้นดังกล่าวทั้งหมด 1,419,490,150 หุ้น ขายให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก
ที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 5 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 จนหมดสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 โดยได้รับชำระเงินค่าหุ้นตามตั๋วสัญญาใช้เงินครบถ้วนแล้ว
ผู้ถูกกล่าวหาได้ขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริชให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 โดย ได้รับชำระค่าหุ้นเรียบร้อยแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 โดยผู้คัดค้านที่ 3 สั่งจ่ายเช็คชำระค่าหุ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ครบถ้วนแล้ว
ผู้คัดค้านที่ 5 ได้กู้ยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 ไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทชินคอร์ปโดยได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินครบถ้วนแล้ว
@ คตส.ไม่ยอมรับความมีจริงของเอกสารตามกฎหมาย
และผู้ถูกกล่าวหายื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีว่า คตส.ไม่ยอมรับความมีจริงของเอกสารตามกฎหมาย แม้แต่เอกสารที่รายงานต่อสำนักงาน กลต.นั้น ปรากฏว่า การโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่มีการรายงานต่อสำนักงาน กลต. ในคดีนี้เป็นการรายงานตามแบบ 246-2 ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลใดได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียนโอนหลักทรัพย์หรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้นจะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้ง บุคคลนั้นต้องรายงานถึงจำนวนหลักทรัพย์ในทุกร้อยละ 5 ดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการ กลต. ทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ ...." มาตรา 247 วรรคหนึ่งซึ่งบัญญัติว่า "บุคคลใดเสนอซื้อหรือกระทำการอื่นใดอันเป็นผลให้ตนได้มาหรือเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 25 ขึ้นไปของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ ให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ..." และมาตรา 247 วรรคสองซึ่งบัญญัติว่า "การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามวรรคหนึ่งให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการ กลต.ประกาศกำหนด ในการนี้คณะกรรมการ กลต.จะกำหนดให้บุคคลดังกล่าวจัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ก็ได้"
ประกอบกับเลขาธิการ กลต. ได้มีหนังสือลงวันที่ 16 มกราคม 2550 แจ้งข้อมูลต่อประธานอนุกรรมการตรวจสอบว่า "ในการพิจารณาหน้าที่ตามมาตรา 246 และ 247 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลั กทรัพย์ พ.ศ. 2535 นั้น การได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งหลักทรัพย์อันเป็นผลให้เกิดหน้าที่รายงานตามมาตรา 246 และทำคำเสนอซื้อตามมาตรา 247 นั้น เป็นการกำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ในกิจการ ไม่ว่าธุรกรรมนั้นจะเป็นการให้เปล่าหรือการซื้อขายในราคาใด หากเป็นการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่กฎหมายกำหนดก็จะมี หน้าที่หรือความรับผิด (กรณีฝ่าฝืน) ไม่แตกต่างกัน ข้อมูลเกี่ยวกับการชำระราคาจึงไม่ใช่สาระสำคัญในแง่ของบทบัญญัติดังกล่าวตามกฎหมายหลักทรัพย์ สำนักงานจึงไม่ได้ตรวจสอบการชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของผู้รายงานหรือผู้ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์" การรายงานตามแบบ 246-2 จึงไม่ใช่หลักฐานแสดงการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นจำนวนที่รายงาน
ดังนั้น ในปัญหาว่าผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 มีพฤติการณ์คงถือไว้ซึ่งหุ้นบริษัทชินคอร์ปหรือไม่ ต้องวินิจฉัยจากพฤติการณ์ระหว่างผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ตั้งแต่มีการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทชินคอร์ป การโอนหุ้นระหว่างกัน และการถือครองหุ้นตั้งแต่มีการโอนจนขายหุ้นให้แก่กองทุนเทมาเส็กเป็นสำคัญ
ผู้คัดค้านที่ 1 เบิกความว่า เมื่อปี 2540 ได้ยกหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 4,500,000 หุ้น ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 5 ในโอกาสที่ผู้คัดค้านค้านที่ 5 แต่งงานและครบรอบวันเกิด 1 ปีของบุตรผู้คัดค้านที่ 5 โดยทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์จากหุ้นของผู้คัดค้านที่ 1 ในบัญชีของนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี หุ้นจำนวนนี้กับหุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 5 มีอยู่เดิม คณะอนุกรรมการไต่สวนเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม้ได้ชัดเจนว่า เป็นหุ้นที่ถือไว้แทนผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้คัดค้านที่ 1
ผู้คัดค้านที่ 5 เบิกความรับว่า ในปี 2542 ซึ่งซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทชินคอร์ปหุ้นละ 15 บาท จำนวน 6,809,015 หุ้นนั้น ผู้คัดค้านที่ 5 กับคู่สมรสมีทรั พย์สินมูลค้ามากกว่า 500,000,000 บาท แต่การใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนเป็นเงิน 102,135,225 บาท
ซึ่งเป็นการลงทุนที่ผู้คัดค้านที่ 5 เบิกความว่าจะทำกำไรให้กลับใช้เงินของผู้คัดค้านที่ 1 มาชำระค่าซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยผู้คัดค้านที่ 1 ถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์เพื่อนำมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้คัดค้านที่ 5 พร้อมกับการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 จำนวน 32,900,000 หุ้น และ 34,650,000 หุ้น ตามลำดับ
ข้ออ้างที่ว่า ผู้คัดค้านที่ 5 ยืมเงินจากผู้คัดค้านที่ 1 มาซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินลงวันที่ 16 มีนาคม 2542 สัญญาจะจ่ายเงินจำนวน 102,135,225 บาท ให้แก่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร เมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ยกลับทำให้เป็นพิรุธ เพราะผู้คัดค้านที่ 1 เพิ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่จะใช้คำนำนามว่า "คุณหญิง" เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2542 ที่ผู้คัดค้านที่ 5 เบิกความว่า เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ซึ่งทำขึ้นเมื่อปลายปี 2543 เนื่องจากได้รับแจ้งจากนางกาญจนาภา หงษ์เหิน ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเดิมที่ระบุชื่อนางพจมาน ชินวัตร หายไป เป็นข้ออ้างที่ไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อ
เพราะในทางไต่สวนปรากฏว่า ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ยังได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินเนื่องจากการโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปและหุ้นบริษัทอื่นอีกหลายฉบับ แต่กลับหายไปจนเกิดข้อพิรุธฉบับเดียว
เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 ผู้ถูกกล่าวหาโอนหุ้น จำนวน 32,920,000 หุ้น ให้แก่บริษัทแอมเพิลริชในราคาพาร์ 10 บาท โดยใช้เงินจากบัญชีเงินฝากของผู้คัดค้านที่ 1 ชำระให้แก่บริษัทหลักทรั พย์แอสเซทพลัส จำกัด เพื่อทำรายการซื้อหุ้นให้บริษัทแอมเพิลริช
เมื่อบริษัทหลักทรัพย์แอสเซทพลัส จำกัด ชำระค่าขายหุ้นซึ่งหักค่านายหน้าแล้วเป็นเงิน 327,438,780 บาท ก็นำเงินดังกล่าวเข้าฝากในบัญชีเงินฝากของผู้คัคค้านที่ 1 สำหรับการโอนหุ้นซึ่งผู้ถูกกล่าวหาและผู้คั ดค้านที่ 1 ถืออยู่ในวันที่ 1 กันยายน 2543 จำนวน 32,900,000 หุ้น และ 69,300,000 หุ้น ตามลำดับ
ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ได้โอนให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งขณะนั้นเป็นบุตรคนเดียวที่บรรลุนิติภาวะแล้วในราคาพาร์ 10 บาท จำนวน 30,900,000 หุ้น และ 42,475,000 หุ้น ตามลำดับ โดยผู้คัดค้านที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ยให้ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งรับโอนหุ้นไว้รวม 73,395,000 หุ้น ได้รายงานตามแบบ 246-2
ต่อสำนักงาน กลต. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 และรายงานแก้ไขเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ว่า จำนวนหุ้นที่รับโอนดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 24.99 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
เห็นได้ว่า หากผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 จะโอนหุ้นให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 มากกว่านี้ก็จะทำให้ผู้คัดค้านที่ 2 ถือหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 25 ขึ้นไป ซึ่งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 247 บัญญัติให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ และคณะกรรมการ กลต. จะกำหนดให้ผู้คัดค้านที่ 2 จัดทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ก็ได้
เชื่อว่าด้วยเหตุนี้ ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 จึงต้องโอนหุ้นที่เหลืออีกจำนวน 2,000,000 หุ้น และ 26,825,000 หุ้น ตามลำดับ ให้แก่บุคคลใกล้ชิดที่ตนไว้วางใจคือผู้คัดค้านที่ 4 และที่ 5
ผู้คัดค้านที่ 5 เบิกความว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เมตตาขายหุ้น จำนวน 26,825,000 หุ้น ในราคาพาร์ 10 บาท เพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 5 มีหุ้นรวมกับหุ้นที่มีอยู่เดิมแล้วเป็นจำนวน 40,000,000 หุ้น
แต่ผู้คัดค้านที่ 5 เบิกความรับว่า ในปี 2543 ผู้คัดค้านที่ 5 และคู่สมรสมีทรัพย์สินอาจจะถึง 1,000,000,000 บาท ก็มิได้ชำระค่าหุ้นในราคาพาร์ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 กลับออกตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 268,250,000 บาท สัญญาจะใชแงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย เช่นเดียวกับตั๋วสัญญาใช้เงินที่อ้างว่าชำระหนี้เงินยืมไปซื้อหุ้นเพิ่มทุน
ส่วนผู้คัดค้านที่ 4 เบิกความว่า ขอซื้อหุ้นจากผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 2,000,000 หุ้น เพื่อเก็บไว้เป็นทุนในอนาคต โดยซื้อตามกำลังเงินที่มี อยู่ แต่ผู้คัดค้านที่ 4 ก็มิได้ชำระเงินค่าหุ้นในราคาพาร์ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา คงออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้เช่นเดียวกัน
@ ไม่ใช่แค่หุ้นบริษัทชินคอร์ป
นอกจากหุ้นบริษัทชินคอร์ปแล้ว ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2543 ผู้ถูกกล่าวหาโอนหุ้นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 10,000,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท ผู้คัดค้านที่ 1 โอนหุ้นบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 9,445,900 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท หุ้นบริษัทไทยคม จำนวน 3,713,398 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท หุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 150,000,000 หุ้น และใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น จำนวน 300,000,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท โดยผู้คัดค้านที่ 2 ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ฉบับ รวมเป็นเงิน 4,621,598,840 บาท สัญญาจะใช้เงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2545 หลังจากที่บริษัทชินคอร์ปเปลี่ยนมูลค่าหุ้นเป็นพาร์ 1 บาท ทำให้ผู้ถือหุ้นมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น 10 เท่า และผู้คัดค้านที่ 3 บรรลุนิติภาวะแล้ว ผู้ คัดค้านที่ 2 ได้โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ป จำนวน 367,000,000 หุ้น ในราคาพาร์ 1 บาท ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 โดยผู้คัดค้านที่ 3 ใช้เงินที่อ้างว่าได้รับในโอกาสวันเกิดจากผู้คัดค้านที่ 1 ชำระให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2
ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 มิได้เรียกเก็บเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินของผู้คัดค้านที่ 4 และที่ 5 จนเมื่อมีการจ่ายเงินปันผลของบริษัทชินคอร์ปโดยได้ความจากนายอเนก พนาอภิชน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการเงินและบัญชี ว่า ภายหลังปี 2540 บริษัทชินคอร์ปงดจ่ายเงินปันผล มาเริ่มจ่ายเงินปันผลในปี 2546 ปีละ 2 งวด เงินปันผลงวดแรกเดือนพฤษภาคม 2546 จากหุ้นที่โอนมาจากผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 5 ซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยใช้เงินของผู้คัดค้านที่ 1 ได้จ่ายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 และบริษัทแอมเพิลริช เป็นเงิน 165,127,500 บาท 165,150,000 บาท 9,000,000 บาท 151,353,067 บาท และ 148,140,000 บาท ตามลำดับ
@ ใช้ 'ตั๋วเงิน' อำพรางโอนหุ้นชินฯ หมื่นล้าน
เมื่อได้รับเงินปันผลงวดแรก ผู้คัดค้านที่ 4 และที่ 5 ก็เริ่มชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ตามรายการชำระเงินค่าหุ้นเอกสารหมาย ค.150 และ ค.143 ตามลำดับ
ในเดือนพฤษภาคม 2546 ผู้คัดค้านที่ 2 โอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้แก่ผู้คัดค้านที่ 3 จำนวน 73,000,000 หุ้น โดยผู้คัดค้านที่ 3 ใช้เงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทชินคอร์ปจ่ายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านที่ 3 ยังใช้เงินปันผลที่ได้รับมาจำนวน 485,829,800 บาท ไปจ่ายเป็นค่าซื้อหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ 5 บริษัท ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ขายให้แก่บริษัทวินมาร์ค จำกัด คืนมาจากบริษัทวินมาร์ค จำกัด
สำหรับผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเริ่มชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก่อนที่จะได้รับเงินปันผลในเดือนพฤษภาคม 2546 นั้น ผู้คัดค้านที่ 2 ก็เบิกความรับว่า นำเงินที่ได้จากการขายหุ้นธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่รับโอนมาจากผู้คัดค้านที่ 1 มาชำระ และเมื่อได้รับเงินปันผลจากบริษัทชินคอร์ปแล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ยังทยอยโอนเงินเข้าบัญชีผู้คัดค้านที่ 1 จนถึงเดือนมกราคม 2549 ปรากฏตามรายการชำระเงินเอกสารหมาย ค.143
สำหรับผู้คัดค้านที่ 4 ซึ่งอ้างว่าได้รับเงินปันผลรวม 6 งวด เป็นเงิน 97,200,000 บาท เมื่อได้รับเงินปันผลงวดแรกจำนวน 9,000,000 บาท ได้สั่งจ่ายเช็คชำระให้แก่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด เงินปันผลงวดที่ 2 จำนวน 13,500,000 บาท ได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา แต่เลขานุการเขียนตัวเลขในเช็คผิดจึงแก้ไขไปจาก 13,500,000 บาท เป็น 11,000,000 บาท เงินปันผลงวดที่ 2 ที่เหลืออีก 2,500,000 บาท ได้สั่งจ่ายเช็คให้ผู้คัดค้านที่ 3 เป็นการคืนเงินที่ฝากผู้คัดค้านที่ 3 ซื้อนาฬิกาจากต่างประเทศ
ส่วนเงินปันผลงวดที่ 3 ถึงที่ 6 ได้สั่งจ่ายเช็ครวม 44 ฉบับ เป็นการสั่งจ่ายเข้าบัญชีธนาคารของผู้คัดค้านที่ 4 จำนวน 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,100,000 บาท เช็คอีก 42 ฉบับเป็นเช็คเบิกเงินสดรวม 68,000,000 บาท นำมาตกแต่งบ้าน ทำสวน สนามฟุตบอลและสระว่ายน้ำ ประมาณ 20,000,000 บาท ค่าใช้จ่ายส่วนตัว 6,000,000 บาท ซื้อทองคำแท่ง 13,000,000 บาท ซื้อเครื่องเพชรและเครื่องประดับ 11,000,000 บาท ซื้อเงินตราต่างประเทศประมาณ 10,000,000 บาท และสำรองไว้ที่บ้าน 8,000,000 บาท โดยมิได้ส่งเงินให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา
แต่ผู้คัดค้านที่ 4 ไม่มีหลักฐานใดที่เกี่ยวกับการใช้เงินสดจำนวนมากถึง 68,000,000 บาทมาแสดง ข้ออ้างของผู้ดค้านที่ 4 จึงรับฟังไม่ได้
พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 กับผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ดังได้วินิจฉัยมาเป็นเหตุผลประการหนึ่งให้เชื่อว่า ผู้คัดค้านที่ 5 ถือหุ้นเพิ่มทุนบริษัทชินคอร์ป ผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปที่ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 โอนให้ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ไว้แทนผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 และรับเงินปันผลในหุ้นดังกล่าวจากบริษัทชินคอร์ปไว้แทนผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1
ส่วนข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 ว่า คตส. ดำเนินการสองมาตรฐาน นอกจากให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีจากผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 แล้ว กลับกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหายังคงถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปในหุ้นจำนวนเดียวกันเป็นคดีนี้อีก เห็นว่า การให้เรียกเก็บภาษีอากรจากผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ที่ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริชเป็นการดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรอันเป็นกฎหมายพิเศษที่กำหนดให้ผู้มีเงินได้พึงประเมินมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุลคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ประมวลรัษฎากรกำหนด
นอกจากนี้มาตรา 61 แห่งประมวลรัษฎากรก็บัญญัติหลักเกณฑ์ในการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ว่า บุคคลใดมีชื่อในหนังสือสำคัญใด ๆ แสดงว่า (1) เป็นเจ้าของทรัพย์สินอันระบุไว้ในหนังสือสำคัญและทรัพย์สินก่อให้เกิดเงินได้พึงประเมิน หรือ (2) เป็นผู้ได้รับเงินได้พึงประเมินโดยหนังสือสำคัญเช่นว่านั้น เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินเรียกเก็บภาษีทั้งหมดจากผู้มีชื่อในหนังสือสำคัญนั้นก็ได้ การดำเนินการทางภาษีอากรกับผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นการดำเนินการตามหลักการแห่งประมวลรัษฎากร
@ ข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น
ส่วนการกล่าวหาว่า ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติในคดี นี้เป็นการดำเนินการกับเจ้าของที่แท้จริงในหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความรับผิดทางภาษีอากร โดยมีหลักกฎหมายในการพิจารณาที่แตกต่างกัน ข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ถึงที่ 3 จึงฟังไม่ขึ้น
สำหรับบริษัทแอมเพิลริชซึ่งมีสถานที่ติดต่ออยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ได้รับโอนหุ้นบริษัทชินคอร์ปจากผู้ถูกกล่าวหาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2542 จำนวน 32,920,000 หุ้น โดยใช้เงินจากบัญชีเงินฝากของผู้คัดค้านที่ 1 ชำระราคาแทนบริษัทแอมเพิลริช ในวันเดียวกัน ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ให้นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เข้าเป็นกรรมการในบริษัทแอมเพิลริชร่วมกับนายเลา วี เตียง ซึ่งเป็นกรรมการอยู่เดิม และในวันดังกล่าวบริษัทแอมเพิลริชโดยนายเลา วี เตียงและนางกาญจนาภา หงษ์เหิน ในฐานะกรรมการบริษัทได้เปิดบัญชีที่ธนาคารยูบีเอส เอจี ที่ประเทศสิงคโปร์ บัญชีเลขที่ 119449 โดยมีเงื่อนไขว่า "ผู้มีอำนาจเบิกถอนแต่ผู้เดียวคือ ดร.ที.ชินวัตร” จากการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการไต่สวนปรากฏว่านับตั้งแต่วันเปิดบัญชีจนถึงเดือนเมษายน 2546 ก่อนที่บริษัทแอมเพิลริชจะได้รับเงินปันผลจากบริษัทชินคอร์ปมีเงินโอนเข้าบัญชีของบริษัทแอมเพิลริชหลายครั้งคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,200,000 บาท
แต่นางกาญจนาภา หงษ์เหิน ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบว่า จำไม่ได้ว่าเป็นเงินของใครที่นำมาชำระค่าใช้จ่าย เพราะบริษัทแอมเพิลริชไม่ได้ประกอบกิจการใดจึงไม่มีการทำบัญชี
แต่ต่อมาบริษั ทแอมเพลริชได้รับเงินปันผลจากบริษัทชินคอร์ปในปี 2546 ปี 2547 และงวดแรกของปี 2548 ในเดือนเมษายน 2548 รวม 5 งวด รวมเป็นเงินมากกว่า 1,000,000,000 บาท แล้วผู้ถูกกล่าวหาก็ยังเป็นผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินของบริษัทแอมเพิลริชแต่ผู้เดียว ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ในฐานะกรรมการบริษัทแอมเพิลริชเพิ่งทำการเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจเบิกถอนเงินในบัญชีของบริษัทแอมเพิลริชในเดือนมิถุนายน 2548 เป็นผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3
ที่ผู้ถูกกล่าวหาอ้างว่าได้ขายหุ้นบริษัทแอมเพิลริชให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหายังเป็นผู้มีอำนาจแต่ผู้เดียวในการเบิกถอนเงินจากบัญชีของบริษัทต่อมาอีกถึง 4 ปีเศษ ประกอบกับราคาที่อ้างว่าซื้อขายกัน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ เท่ากับที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกเรียกเก็บค่าหุ้น 1 หุ้น ทั้งที่การขายหุ้น 1 หุ้น ดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ซื้อได้ไปซึ่งหุ้นของบริษัทชินคอร์ปจำนวนหุ้นในปี 2543 ถึงจำนวน 32,920,000 หุ้น โดยชำระเงินเพียง 1 ดอลล่าร์สหรัฐนั้น เป็นข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีเหตุผลให้รับฟัง
สำหรับบริษัทวินมาร์คนั้น คดีนี้ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปซึ่งผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ชื่อผู้อื่นถือไว้แทนมีจำนวน 1,419,490,150 หุ้น แยกเป็นหุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 2 รับโอนจากผู้ถูกกล่าวหา ผู้คัดค้านที่ 1 และบริษัทแอมเพิลริชรวม 458,550,000 หุ้น
หุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 3 รับโอนจากผู้คัดค้านที่ 2 และบริษัทแอมเพิลริชรวม 604,600,000 หุ้น
หุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 4 รับโอนจากผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 20,000,000 หุ้น
และหุ้นที่ผู้คัดค้านที่ 5 ซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยใช้เงินจากบัญชีเงินฝากของผู้คัดค้านที่ 1 กับหุ้นที่รับโอนจากผู้คัดค้านที่ 1 รวม 336,340,150 หุ้น กับมีคำขอให้ริบเงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตามหุ้นจำนวน 1,419,490,150 หุ้นดังกล่าว
ส่วนที่ผู้ร้องบรรยายคำร้องว่าผลการตรวจสอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงาน กลต.รับฟังได้ว่า บริษัทวินมาร์ค จำกัด เป็นนิติบุคคลที่อำพรางการถือหุ้นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 นั้น จำนวนหุ้นที่บรรยายไว้ไม่รวมอยู่ในยอดรวมของหุ้นที่มีคำขอให้ริบคดีนี้ กรณีจึงไม่มีเหตุต้องวินิจฉัยในคดีนี้ว่า บริษัทวินมาร์คเป็นนิติบุคคลที่อำพรางการถือหุ้นของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่
*************
ณ วันนี้ การออกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋วพีเอ็น ของคนในครอบครัวชินวัตร วนเวียนกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้ง ในการอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ น.ส. แพทองธาร นายกรัฐมนตรี
ขณะที่เจ้าตัว ยืนยันการโอนหุ้นดังกล่าวเป็นการซื้อขายจริงไม่ได้มีพฤติกรรมอำพรางใด ๆ ยอดหนี้(ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน) ก็แสดงว่าชัดเจนในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. อยู่แล้ว
แต่ข้อมูลในคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กลับชี้ว่า การออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระค่าหุ้นมีพิรุธ เป็นการอำพรางการโอนหุ้นชินคอร์ป เพราะสุดท้ายแล้ว หุ้นชินคอร์ป ที่นายทักษิณโอนให้กับบุคคลต่างๆ ดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายทักษิณ
น่าสนใจว่า น.ส. แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เคยได้อ่านคำพิพากษาคดีนี้หรือไม่ หรือหลงลืมข้อมูลไปหมดสิ้นแล้ว