สตง.เผยผลตรวจสอบ หน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทยพื้นที่ภาคใต้ ปลอมลายเซ็นเบิกน้ำมัน 1 แสนลิตร ทำรัฐเสียหาย 18.25 ล.-อปท.จังหวัดนราธิวาส ใช้งบจัดซื้อจัดจ้างไม่ตรงตามเงื่อนไข 259 ล.-รัฐวิสาหกิจไม่ส่งคืนเงินอุดหนุนทั่วไป 90 ล.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2567 ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นายสุทธิพงษ์ บุญนิธิ รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แถลงข่าวการตรวจสอบของสตง.ในหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ หน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่มีพฤติการณืควรเชื่อได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีการทุจริต หรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ดังนี้
1. สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 15 (จังหวัดสงขลา) (สตภ.15) ได้ตรวจสอบการเบิกจ่ายงบประมาณโครงการขุดลอกลําน้ำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ของหน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้จํานวน 6 โครงการ วงเงินงบประมาณ 23.07 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจัดซื้อน้ํามันดีเซล 557,247 ลิตร จํานวน 17.23 ล้านบาท ค่าเช่าเครื่องจักรรถขุดตักตีนตะขาบ จํานวน 2.48 ล้านบาท ค่าจัดซื้ออะไหล่ซ่อมบํารุง จํานวน 0.77 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่น จํานวน 2.59 ล้านบาท โดยพบว่ามีการนําน้ํามันออกจากคลังโดยปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ขอเบิกและผู้รับน้ํามัน จํานวน 100,000 ลิตร และยังปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีน้ํามันสูญหายไปจากคลังน้ํามันอีก 14,000 ลิตร
ผลการตรวจสอบปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ามีพฤติการณ์อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และมีข้อบกพร่องเนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หรือแบบแผนการปฏิบัติของทางราชการ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ เป็นจํานวนเงินทั้งสิ้น 18.25 ล้านบาท ทางสตง.จึงได้มีหนังสือแจ้งหัวหน้าหน่วยงานเพื่อดําเนินการควบคุมหรือกํากับมิให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอีก พร้อมดําเนินการทางวินัยอย่าง ร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และดําเนินการเรียกให้มีการชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐ จํานวน 18.25 ล้านบาท ซึ่งล่าสุดอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และหน่วยงานดังกล่าวได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อดําเนินการทางวินัย และคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเบื้องต้นเพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐเรียบร้อยแล้ว
2. สตภ.15 ได้ตรวจสอบการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างโครงการ ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจตามแผนยุทธศาสตร์กระจายอํานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 และ 2567 ของ อปท. ในจังหวัดนราธิวาส
ผลการตรวจสอบพบว่ามีการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจฯ จํานวน 4 รายการ ได้แก่ 1.งานจัดซื้อครุภัณฑ์ติดตั้งกล้องวงจรปิด (CCTV) 2.งานจัดจ้างก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมถนนท้องถิ่น 3.รายการเงินอุดหนุนสําหรับก่อสร้าง ปรับปรุง พัฒนาแหล่งน้ําท้องถิ่น 4.เงินอุดหนุนสําหรับดําเนินการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวด้วยการจัดซื้อติดตั้งชุดเสาไฟถนนโคมไฟแอลอีดี พลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาเซลล์) แบบประกอบในชุดเดียวกัน ตามบัญชีนวัตกรรมไทย รวมงบประมาณทั้งสิ้น 259 ล้านบาท ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขการเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามที่กําหนดและอาจไม่บรรลุวัตถุประสงค์ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่การเงินการคลังของรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการสรุปสํานวนรายงานการตรวจสอบ อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบเอกสารคําขอจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจฯ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (องค์การบริหารส่วนตําบล) ยังปรากฏข้อมูลการจัดสรรงบประมาณของทั้ง 4 โครงการดังกล่าวให้กับ อบต. ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมจํานวน 1,980 ล้านบาท
3. สํานักตรวจเงินแผ่นดินที่ 16 ได้ตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายกรณีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไปของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เพียงวันที่ 30 มิถุนายน 2567
พบว่า หน่วยงานดังกล่าวได้รับจัดสรรเงินงบประมาณเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2561-2565 รวมเป็นเงิน 737.86 ล้านบาท แต่มีการใช้จ่ายงบประมาณเพียงจํานวน 646.92 ล้านบาท ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ทําให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่บรรลุผลตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ โดยมีเงินอุดหนุนทั่วไปที่สิ้นสุดระยะเวลาการใช้จ่ายเงินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2561-2565 แล้ว แต่มิได้นําส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน เป็นจํานวนเงินประมาณ 90.94 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากที่ สตง. ได้มีหนังสือแจ้งผลการตรวจสอบเพื่อให้หัวหน้าหน่วยงานดําเนินการแก้ไขข้อบกพร่องและควบคุมกํากับมิให้เกิดข้อบกพร่องขึ้นอีก หน่วยงานดังกล่าวได้มีการนําเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินแล้ว จํานวน 26.26 ล้านบาท