"...จําเลยที่ 1 ใช้อํานาจในตําแหน่งอนุมัติให้ดําเนินการจัดสร้างห้องส้วมนักเรียน 10 ห้อง เป็นเงิน 129,300 บาท และอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินดังกล่าว โดยมีจําเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทําความผิด ความจริงแล้วโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อไม่ได้มีการสร้างห้องส้วมนักเรียนขึ้นมาใหม่ เนื่องจากนาง ล. และคณะได้รวบรวมเงินสร้างให้แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อแล้ว..."
นางลภาภัทร พลสิทธิ์ จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ส่วน จำเลยอีก 2 ราย คือ นายประคอง ธนูปกรณ์ ครูชำนาญการพิเศษ เป็นเจ้าหน้าที่การเงินโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ จำเลยที่ 2 พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี และปรับ 21,000 บาท นางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ ครูชำนาญการพิเศษ เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ จำเลยที่ 3 พิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 14,000 บาท
แต่ในส่วนจําเลยที่ 2 และที่ 3 โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจําเลยที่ 2 และที่ 3 ไว้คนละ 1 ปี โดยให้จําเลยที่ 2 และที่ 3 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติคนละ 4 ครั้ง ให้จําเลยที่ 2 และที่ 3 ทํางานบริการสังคมหรือบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร เป็นเวลาคนละ 18 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจําเลยที่ 2 และที่ไม่ชําระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และให้จําเลยทั้งสาม ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงิน 129,300 บาท แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ
คือ บทสรุปคำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 3 ที่ตัดสินในคดีกล่าวหา นางลภาภัทร พลสิทธิ์ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัตตานี เขต 3 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ อ.วังน้ำเขียวจ.นครราชสีมา กับพวก เบิกงบก่อสร้างห้องน้ำซ้ำซ้อน ทั้ง ๆ ที่ได้รับบริจาคมาจากภาคเอกชนอยู่แล้ว
ที่สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) นำเสนอให้สาธารณชนได้รับทราบไปแล้ว
ต่อไปนี้ เป็นรายละเอียดคำพิพากษาฉบับเต็มในคดีนี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ พฤติการณ์การทำกระทำความผิดของจำเลย และคำวินิจฉัยคดีของศาลฯ
ปรากฏข้อมูลดังต่อไปนี้
คดีนี้ เป็นความอาญาระหว่างโจทก์-อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการ สํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 3 กับ นางลภาภัทร พลสิทธิ์ จำเลยที่ 1 นางประคอง ธนูปกรณ์ จำเลยที่ 2 และนางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ จำเลยที่ 3
อำนาจหน้าที่จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จําเลยทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเจ้าพนักงาน ตามกฎหมาย โดยเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ตําบลวังน้ำเขียว อําเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 3
นางลภาภัทร พลสิทธิ์ จําเลยที่ 1 ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ มีอํานาจหน้าที่ ควบคุม ดูแลสถานศึกษา ในด้านวิชาการ ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารทั่วไป ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 และกฎหมายอื่น ตลอดจนดําเนินการอื่น ๆ ที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย รวมทั้ง งานอื่นที่กระทรวงมอบหมาย ตามมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 อนุมัติยืมหรือจ่ายเงิน ก่อหนี้ผูกพัน สั่งซื้อหรือสั่งจ้าง สั่งจ้าง งานออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง และดําเนินการทั้งปวง ตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 รวมทั้งกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการพัสดุทุกกรณีของ โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อแทนเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โดยมีอํานาจที่อยู่ในความรับผิดชอบภายในวงเงินครั้งหนึ่งไม่เกิน 15 ล้านบาท ตามคําสั่งสํานักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 1341/2560 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2560 เรื่อง มอบอํานาจเกี่ยวกับ เงินรายได้สถานศึกษา ตลอดจนมีอํานาจอนุมัติให้ดําเนินการโครงการจัดสร้างส้วมนักเรียน 10 ห้อง เป็นเงิน 129,300 บาท และมีหน้าที่จัดการ หรือรักษาเงินเหลือจ่ายเงินอุดหนุน (งบเหลือจ่าย ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561) จํานวน 236,435,27 บาท ของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ
นอกจากนี้ จําเลยที่ 1 ยังมีอํานาจในการเบิกถอนเงินจากบัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาวังน้ำเขียว บัญชีเลขที่ XXX ชื่อบัญชี เงินอุดหนุนอื่น ร.ร.บ้านศาลเจ้าพ่อ ซึ่งโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อเปิดบัญชีไว้เพื่อรับและเก็บรักษาเงินอุดหนุนร่วมกับ นางประคอง ธนูปกรณ์ จําเลยที่ 2 และ/หรือ นาง ม.(อักษรย่อ)
ส่วน นางประคอง ธนูปกรณ์ จําเลยที่ 2 ดํารงตําแหน่งครูชํานาญการพิเศษ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่การเงินของ โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ มีหน้าที่ในการรับเงิน การเก็บรักษาเงินและการจ่ายเงินที่อยู่ใน ความรับผิดชอบของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ และยังมีอํานาจในการเบิกถอนเงินจาก บัญชีธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาวังน้ำเขียว บัญชีเลขที่ XXX ดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับจําเลยที่ 1 และ/หรือนาง ม.
นางสาวสายสุณีย์ แสงก่ำ จําเลยที่ 3 ดํารงตําแหน่งครูชํานาญการ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ มีหน้าที่ในการจัดหาพัสดุ จัดทํารายงานเสนอการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุคุรุภัณฑ์และงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ตามคําสั่ง โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ที่ 29/2561 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2561 และที่ 93/2561 ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2561
จุดเริ่มต้นเจ้าของห้างปืนวังบูรพา- คณะ ติดต่อบริจาคเงินสร้างห้องส้วม
เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2561 นาง ล. (ตัวอักษรย่อ) หรือคุณ ก. ห้างปืนวังบูรพาและคณะติดต่อบริจาคเงินสร้างห้องส้วมนักเรียนให้แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อในนาม “ห้างปืนวังบูรพา” 10 ห้อง ประมาณการก่อสร้างเป็นเงิน 255,172 บาท แบ่งเป็นค่าวัสดุก่อสร้าง 151,582 บาท ค่าแรง 94,340 บาท และงานไฟฟ้า 9,250 บาท
โดยนาง ล. และคณะ จะหาเงินมาเพื่อดําเนินการ และจะนําเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) สาขาวังน้ำเขียว บัญชีเลขที่ XXX ชื่อบัญชี นาย พ. ตัวอักษรย่อ และนาง ส. ซึ่งได้โอนเงินเข้าบัญชีแล้ว 199,000 บาท
ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อจัดงานต้อนรับนาง ล. และคณะ กับทําพิธีรับมอบห้องส้วม 10 ห้องดังกล่าว นอกจากนี้คณะบุคคลที่เดินทางมาด้วยยังได้มอบเครื่องคอมพิวเตอร์ 6 เครื่องให้แก่โรงเรียนอีกด้วย
ในการสร้างห้องส้วมดังกล่าวยังคงค้างจ่ายค่าแรงช่างให้แก่ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง 94,340 บาท และค่าวัสดุก่อสร้างร้านโก้วัสดุกับร้านรัตนอุปกรณ์ อีกรวม 129,300 บาท ทั้งนี้ ในวันที่ 30 กันยายน 2561 โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ มีงบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เป็นเงิน 236,435.27 บาท
ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ระหว่างวันที่ 24 กันยายน 2561 ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จําเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานและมีหน้าที่ดังกล่าวข้างต้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริต
จําเลยที่ 1 ใช้อํานาจในตําแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐและโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ โดยมีจําเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด
กล่าวคือ จําเลยที่ 1 ใช้อํานาจในตําแหน่งอนุมัติให้ดําเนินการจัดสร้างห้องส้วมนักเรียน 10 ห้อง เป็นเงิน 129,300 บาท และอนุมัติให้เบิกจ่ายเงินดังกล่าว โดยมีจําเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทําความผิด
ทำหลักฐานเท็จ-ไม่ได้สร้างห้องส้วมใหม่
ความจริงแล้วโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อไม่ได้มีการสร้างห้องส้วมนักเรียนขึ้นมาใหม่ เนื่องจากนาง ล. และคณะได้รวบรวมเงินสร้างให้แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อแล้ว
แต่จําเลยทั้งสามร่วมกันทําเอกสารรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทําการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทําต่อหน้าตนอันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ดังนี้
จัดทําเอกสารการประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 และเอกสารโครงการสร้างส้วม สําหรับนักเรียนการศึกษาภาคบังคับว่า โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อได้รับบริจาคค่าวัสดุก่อสร้างห้องส้วม ให้กับนักเรียน แต่เกิดปัญหาติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง
คณะกรรมการสถานศึกษามีมติเห็นชอบให้จัดทําโครงการสร้างห้องส้วมนักเรียนในงบประมาณ 129,300 บาท และอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินได้ตาม วัตถุประสงค์โครงการต่อไปอันเป็นความเท็จ
ทั้งที่ ไม่ได้มีการประชุมในเรื่องดังกล่าวจริง
จําเลยที่ 3 ในฐานะเจ้าหน้าที่พัสดุจัดทําบันทึกข้อความ ที่ 17/2561 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561 เรื่อง รายงานการขอซื้อขอจ้างสร้างห้องส้วมนักเรียน 10 ห้อง วงเงินจ้าง 129,300 บาท (งบเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2561) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง และขออนุมัติ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจรับการจ้าง ผู้ควบคุมงาน เสนอจําเลยที่ 1
จากนั้น จําเลยที่ 1 มีคําสั่งอนุมัติตามที่เสนอ กับมีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกําหนด ราคากลางตามคําสั่งโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ ที่ 98/2561 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2561ประกาศให้ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง เป็นผู้ชนะการเสนอราคาและอนุมัติให้จ้างร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง ปรากฏตามบันทึกข้อความ ที่ 18/2561 ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2561 และแจ้งให้ร้านดังกล่าวมาลงนามในสัญญาเพื่อทําใบสั่งซื้อ/สั่งจ้างลงวันที่ 3 ตุลาคม 2561
จําเลยที่ 3 ทําใบส่งมอบงานสร้างห้องส้วมนักเรียน 10 ห้อง ดังกล่าว โดยนําเอา ภาพถ่ายที่ถ่ายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นห้องส้วมที่ได้รับบริจาคจากนาง ล. และคณะมาประกอบเป็นหลักฐานในการส่งมอบงาน และแจ้งคณะกรรมการตรวจรับการจ้างเพื่อตรวจรับงาน ซึ่งมีเพียงนาย ย. เท่านั้นที่ลงชื่อรับรองว่างานครบถ้วนตามสัญญา
ส่วนกรรมการอีกสองคน คือ นาง ว. และนาง ม. ไม่ลงซื่อตรวจรับการจ้างแต่อย่างใด
จําเลยที่ 3 ทําบันทึกข้อความ ที่ 19/2561 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 เพื่อขอทราบผลการตรวจรับงานจ้างและขออนุมัติเบิกจ่ายเงินถึงจําเลยที่ 1 โดยจําเลยที่ 2 ในฐานะ เจ้าหน้าที่การเงิน ทําความเห็นว่าตรวจสอบแล้วมีเอกสารครบถ้วน เห็นควรอนุมัติเงิน 129,300 บาท ให้แก่ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้าง (ผู้รับจ้าง) ซึ่งจําเลยที่ 1 ได้รับทราบและอนุมัติตามเสนอในวันเดียวกัน
การที่จําเลยทั้งสามร่วมกันจัดทําเอกสารดังกล่าวขึ้นนั้น เป็นการร่วมกันทําเอกสารโดยรับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทําการอย่างใดขึ้น หรือว่าการอย่างใดได้กระทําต่อหน้าตน อันเป็นความเท็จ และรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ
ทั้งที่จําเลยทั้งสามทราบดีอยู่แล้วว่า ร้านพลอยรับเหมาก่อสร้างไม่เคยตกลงรับจ้าง สร้างห้องส้วมนักเรียน 10 ห้อง (งบเหลือจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ.2561) จํานวน 129,300 บาท ของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ และไม่มีการสร้างห้องส้วมตามโครงการจริงแต่อย่างใด
การกระทํา ของจําเลยทั้งสามจึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต หลังจากนั้นจําเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อร่วมกับจําเลยที่ 2 เพื่อเบิกถอนเงินจากธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สาขาวังน้ำเขียว บัญชีเลขที่ XXX ชื่อบัญชี เงินอุดหนุนอื่น ร.ร.บ้านศาลเจ้าพ่อ และมอบฉันทะให้จําเลยที่ 2 ไปเบิกถอนเงินสด 129,300 บาท จากบัญชีดังกล่าว
แล้วจําเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเบียดบังเอาเงิน 129,300 บาท ของโรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อไปเป็นของตน หรือของผู้อื่นโดยทุจริต โดยมีจําเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการ กระทําความผิดดังกล่าว เป็นเหตุให้โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อได้รับความเสียหาย
เหตุเกิดที่ตําบลวังน้ำเขียว อําเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ขอให้ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 147, 151, 157, 162 และให้จําเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือชดใช้เงิน 129,300 บาท แก่โรงเรียนบ้านศาลเจ้าพ่อ
จําเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
********
หมายเหตุ คำพิพากษาคดีนี้ยังไม่จบ ยังมีเนื้อหาคำวินิจฉัยคดีในส่วนของศาลฯ อีก รายละเอียดเป็นอย่างไร โปรดติดตามต่อต่อไป