'อิศรา' เจาะคำพิพากษาศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 6 ปี 'สุธรรม มลิลา' อดีต ผอ.ทศท. คดีเอื้อประโยชน์เอไอเอส-ให้ชดใช้เงิน 4.6 หมื่นล้าน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี พบมีชี้ กก. ทศท. 7 ราย ที่เข้าประชุมอนุมัติด้วย บกพร่องในหน้าที่ ต้องร่วมชดใช้ความเสียหายด้วย 6.6 หมื่นล.
..........................................
สืบเนื่องจากสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ที่พิพากษาลงโทษให้จำคุก 6 ปี นายสุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) และให้ชดใช้เงินจำนวน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ในคดีแก้ไขสัมปทาน (ครั้งที่ 6) เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) ให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (AIS) โดยมิชอบ ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงมติชี้มูลความผิดตั้งแต่ในช่วงเดือนธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา และส่งเรื่องอัยการสูงสุด (อสส.) ฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฏหมาย
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบคำพิพากษาศาลฎีกา ที่พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี นายสุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.) และให้ชดใช้เงินจำนวน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ดังกล่าว
พบว่ามีระบุให้ กรรมการ ทศท. อีก 7 คน ที่เข้าร่วมประชุมต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท ด้วย
โดยในคำพิพากษาศาลฎีกา ระบุว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉยตามฎีกาของจำเลยและฎีกาของโจทก์และผู้ร้องประการสุดท้ายว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องตามคำร้องขอของผู้ร้องหรือไม่เพียงใด เห็นว่า การกระทำของ นายสุธรรม มลิลา จำเลยในฐานะผู้อำนวยการโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง เป็นการกระทำละเมิดต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งต่อมาแปรสภาพเป็นบริษัททศท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้ร้องในปัจจุบัน เป็นเหตุให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับความเสียหายต้องสูญเสียรายได้จำนวน 66,060,686,735.44 บาท
กล่าวคือ การที่จำเลยลงนามในข้อตกลงท้ายสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอสมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จนสิ้นสุดอายุสัญญาวันที่ 30 กันยายน 2558 เป็นผลให้สูญเสียรายได้จากส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบจ่ายเงินล่วงหน้าจากบริษัทเอไอเอสในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญาน้อยลงกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนแบ่งรายได้ที่ควรได้รับตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นสัญญาหลักอัตราร้อยละ 25 ถึง 30 เป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 อันเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอจำนวน 27,65o,241,245.9o บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนจำนวน 93,710,927,981.84 บาท จำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวแก่ผู้ร้อง
อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาอนุมัติลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจากอัตราร้อยละ 25 ตามสัญญาหลักเป็นอัตราคงที่ร้อยละ 20 จนเป็นเหตุให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในปีที่ 11 ถึงปีที่ 15 อัตราร้อยละ 25 และปีที่ 16 ถึงปีที่ 20 อัตราร้อยละ 30 เป็นเงิน 66,060,686,735.94 บาท นั้น
เป็นการพิจารณามติอนุมัติโดยคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งรวมทั้งจำเลยผู้เป็นกรรมการคนหนึ่งในจำนวน 8 คน ในการประชุมคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2544 มิใช่การพิจารณาอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสโดยจำเลยแต่เพียงผู้เดียว กรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย จำนวนอีก 7 คน ย่อมมีหน้าที่ต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเช่นเดียวกับจำเลย
การที่บริษัทเอไอเอสขอลดส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าตามสัญญาหลักที่บริษัทเอไอเอสต้องจ่ายให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนั้น
เห็นได้ในเบื้องต้นว่า หากคณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลักให้แก่บริษัทเอไอเอสตามที่บริษัทเอไอเอสขอย่อมทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับรายได้น้อยลง
กรรมการจำนวนอีก 7 คน ดังกล่าว จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบถึงเหตุผลที่บริษัทเอไอเอสอ้างว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายสำหรับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า "Prompt" ให้แก่บริษัททีเอซี จากอัตรา 200 บาท ต่อเลขหมายต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของราคาหน้าบัตรนั้นฟังขึ้นหรือไม่
โดยกรรมการจำนวนอีก 7 คน ควรต้องสอบถามจำเลยว่า เหตุผลที่บริษัทเอไอเอสอ้างดังกล่าวจำเลยได้ตรวจสอบแล้วหรือไม่ว่า การกำหนดค่าเชื่อมโยงให้แก่บริษัททีเอซีจากอัตรา 200 บาท ต่อเลขหมายต่อเดือนเป็นอัตราร้อยละ 18 ของราคาหน้าบัตร เป็นการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายตามที่บริษัทเอไอเอสกล่าวอ้าง และควรสอบถามจำเลยด้วยว่าเท่าที่ผ่านมาบริษัทเอไอเอสกับบริษัททีเอซีบริษัทใดจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมากกว่ากันเพื่อประกอบการพิจารณาก่อนอนุมัติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าตามสัญญาหลักให้แก่บริษัทเอไอเอส
แต่ไม่ปรากฏว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน ได้สอบถามข้อเท็จจริงดังกล่าวจากจำเลยก่อนพิจารณาลงมติอนุมัติให้ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก จากร้อยละ 25 ในปีที่ 11 ถึงปีที่ 15 และร้อยละ 30 ในปีที่ 16 ถึงปีที่ 20 ลงเหลือในอัตราคงที่ร้อยละ 20 ตลอดอายุสัญญาหลัก นับได้ว่ากรรมการจำนวนอีก 7 คน มีส่วนบกพร่องในการทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยด้วย
กรรมการจำนวนอีก 7 คน จึงต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้จากการที่คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติให้ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่บริษัทเอไอเอสดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 66,060,686,735.94 บาท
สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า อย่างไรก็ดี ในคำพิพากษาศาลฎีกา มิได้ระบุรายชื่อกรรมการจำนวนอีก 7 คน ที่จะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายครั้งนี้ว่าเป็นใครบ้าง และเป็นจำนวนเงินคนละเท่าไร
อ่านข่าวประกอบ
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage