ศบค.ตรึงทุกมาตรการถึง 30 ก.ย. คง 29 จังหวัดสีแดงเข้ม เห็นชอบใช้สถานศึกษาเป็นจุดฉีดไฟเซอร์ 2 เข็มให้นักเรียน 12-17 ปีขึ้นไป คลังโชว์ลดหย่อนภาษี-เติมเงินใส่เป๋าตัง หนุนให้คนเข้าถึง ATK มากขึ้น
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference)
จากนั้นเวลา 15.30 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) กล่าวภายหลังการประชุม ศบค.ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร โดยพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม ยังคงไว้ที่ 29 จังหวัด นอกจากนั้นให้คงมาตรการ ตามข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 32) ต่อไปจนถึง 30 ก.ย.2564
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทย พ.ศ.2564 คาดว่าจะมีวัคซีนเข้ามาในประเทศ 152.9 ล้านโดส โดยเป็นการเพิ่มเติมวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าและไฟเซอร์ ทั้งนี้ ศบค.เห็นชอบ แผนการจัดสรรวัคซีน 24 ล้านโดส แยกตามกลุ่มเป้าหมาย ระหว่างวันที่ 27 ก.ย. – 31 ต.ค. ดังนี้
1.ฉีดให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ จำนวน 16.8 ล้านโดส โดยมีทั้งหมด 3 สูตร คือ ซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า , แอสตร้าเซนเนก้า 2 เข็ม และ แอสตร้าเซนเนก้า-ไฟเซอร์
2.นักเรียนที่มีอายุ 12-17 ปีทั่วประเทศ จำนวน 4.8 ล้านโดส โดยให้ฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม
3.แรงงานในระบบประกันสังคม จำนวน 0.8 ล้านโดส โดยใช้สูตรซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า
4.หน่วยงานอื่นๆ เช่นองค์กรภาครัฐ ราชทัณฑ์ จำนวน 1.1 ล้านโดส โดยใช้สูตรซิโนแวค-แอสตร้าเซนเนก้า
5.กลุ่มที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็ม และต้องการเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 จำนวน 0.5 โดส โดยใช้แอสตร้าเซนเนก้าเป็นเข็มกระตุ้น
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแนวทางการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป โดยใช้สถานศึกษาเป็นจุดฉีดวัคซีน และใช้สูตรการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม คาดว่า กรมควบคุมโรคจะจัดส่งวัคซีนและอุปกรณ์การฉีดได้ในช่วงเดือน ต.ค.2564
โฆษก ศบค. กล่าวด้วยว่า ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานประกอบกิจการและโรงงานอุตสาหกรรม ได้รายงานข้อมูลว่า มีโรงงานที่พบผู้ติดเชื้อโควิด 65,887 คนในโรงงาน 952 แห่ง รักษาหายแล้ว 25,983 คน คิดเป็น 39% โดยจังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรก คือ เพชรบุรี สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา สระบุรี และสมุทรสาคร ตามลำดับ ส่วนการสำรวจความพร้อมการดำเนินมาตรการป้องกันโรค ตามโครง Thai Stop Covid-19 ของโรงงาน 64,038 แห่ง พบว่ามีการประเมินตัวเองเพียง 21,130 แห่ง ผ่านเกณฑ์ 13,836 แห่ง ไม่ผ่านเกณฑ์ 7,294 แห่ง และในการสัมมนาร่วมกับผู้ประกอบการต่างๆ ของกระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า 48% ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินการบับเบิ้ลแอนด์ซีล เพื่อขอความช่วยเหลือด้านค่าใช้จ่าย 32% ขอรับสนับสนุนชุดตรวจ Antigen Test Kit (ATK) 20%
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงแนวทางที่รัฐสนับสนุนให้คนไทยเข้าถึง ATK ว่า นายกรัฐมนตรีให้โจทย์ไปกับ รมว.คลัง และได้รับทราบว่าเพื่อให้เป็นตามนโยบาย ศบค ที่จะเพิ่มการตรวจ ATK ในประชากร โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน ซึ่งมี 2 มาตรการ คือ 1.ผู้ประกอบการที่จัดซื้อ ATK มีค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่าของที่จ่ายไป 2.เพิ่มเงินในแอปพลิเคชันเป๋าตังสนับสนุนให้ประชาชนหาซื้อชุดตรวจด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องติดตามรายละเอียดจากกระทรวงการคลังต่อไป
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การยังคงมาตรการไปจนถึงเดือน 30 ก.ย.2564 เป็นเรื่องที่เราต้องร่วมมือร่วมใจกัน กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ร่วมมือร่วมใจกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งโรคนี้ยังไม่จบง่ายๆ เราต้องอยู่กับโควิดนี้ต่อไป และขอความร่วมมือกันต่อไป
ด้าน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกฯยังได้สั่งติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ MU (มิว) ที่ขณะนี้ยังไม่พบการแพร่ระบาดในประเทศไทย รวมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อสังเกต ข้อเสนอแนะหรือข้อท้วงติงที่เป็นประโยชน์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาปรับใช้ในการทำงาน เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนและช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage