รองเลขาฯศาลยุติธรรม อธิบายละเอียดขั้นตอนพิจารณา 'คดีลุงวิศวะ' โดนโทษคุก 5 ปี เข้าเกณฑ์รอลงโทษได้ แถมไม่ปรากฎเคยจำคุกมาก่อน-ผู้ตายมีส่วนผิดด้วย ชี้แม้เจ้าตัวหลบหนีคำพิพากษา แต่ถ้าไม่มาพบพนักงานคุมประพฤติ อาจถูกออกหมายจับอีกรอบ
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2564 นายศุภกิจ แย้มประชา รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อธิบายกระบวนการอ่านคำพิพากษาและขั้นตอนการบังคับคดีตามผลคำพิพากษาถึงที่สุด คดีนายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ (หรือที่สื่อเรียกกันโดยทั่วไปว่า คดีลุงวิศวะ) เป็นคดีในความสนใจขอประชาชนว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ก.ย. 2561 ศาลจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ มีความผิดฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยศาลไม่เชื่อว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่เนื่องจากจำเลยมิได้มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงโจรผู้ร้าย เพียงแต่ขาดสติยับยั้งชั่งใจในการควบคุมตน จำเลยยิงปืนไปเพียง 1 นัด หลังเกิดเหตุมิได้หลบหนีไปไหน และยอมรับกับเจ้าพนักงานตำรวจในทันทีว่าเป็นคนยิงผู้ตาย ประกอบกับผู้ตายมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด เห็นสมควรลงโทษจำเลยสถานเบา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จึงวางโทษจำคุก 15 ปี ซึ่งเป็นอัตราโทษขั้นต่ำที่สุดตามกฎหมายในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธปืนฯ ปรับ 4,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ 2,000 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 2,000 บาท ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันยื่นคำร้องขอเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ญาติผู้ตายซึ่งเป็นผู้ร้อง จำเลยอุทธรณ์ว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายนั้นไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2562 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟัง ซึ่งการให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยฟังแทนเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 209 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยยังคงไม่เชื่อว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยยื่นฎีกาว่าการฆ่าผู้ตายไม่เป็นความผิดเพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
นายศุภกิจ กล่าวว่า คดีนี้มีข้อน่าพิจารณาว่าในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะไม่ปรากฏเรื่องการรอหรือไม่รอการลงโทษ เนื่องจากโทษจำคุกที่ทั้งสองศาลลงแก่จำเลยคือ จำคุก 10 ปี จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ที่ให้ดุลพินิจศาลในการรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษเฉพาะคดีที่จะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีเท่านั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2564 ศาลจังหวัดชลบุรีนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยการให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแทนเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 209 จะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่คู่ความที่จะไม่ต้องเดินทางมายังศาลฎีกาที่กรุงเทพมหานคร ในวันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาครั้งแรก จำเลยไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงมีเหตุสงสัยว่าจำเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟังคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสาม ศาลไม่อาจอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยไปในวันนั้นได้ ต้องออกหมายจับจำเลยเพื่อเอาตัวมาฟังคำพิพากษาเสียก่อน โดยหากออกหมายจับแล้วจับจำเลยไม่ได้ภายใน 1 เดือน จึงจะอ่านคำพิพากษาได้ คดีนี้ศาลจังหวัดชลบุรีจึงออกหมายจับจำเลยเพื่อให้มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 17 มิถุนายน 2564 อันเป็นเวลาหลังจากวันที่ออกหมายจับ 1 เดือนเศษ
ต่อมา เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2564 เจ้าพนักงานตำรวจยังไม่สามารถจับกุมจำเลยมาศาลได้ และจำเลยไม่เดินทางมาศาลด้วยตนเอง ศาลจังหวัดชลบุรีจึงมีอำนาจอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 วรรคสามที่กล่าวมาข้างต้น โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการที่จำเลยฆ่าผู้ตายเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 เมื่อเป็นกรณีดังกล่าวศาลฎีกามีอำนาจที่จะกำหนดโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ โดยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำก่อนลดโทษไว้ที่ 15 ปี ในคดีนี้ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุวางโทษจำคุก 5 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 และเมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานพาอาวุธปืนแล้ว รวมจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 2,000 บาท เมื่อโทษจำคุกที่จะศาลฎีกาจะลงแก่จำเลยไม่เกินห้าปี จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลฎีกาอาจจะรอการลงโทษหรือรอการกำหนดโทษจำคุกได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจวินิจฉัยในประเด็นนี้ว่าโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 3 ปี คุมความประพฤติ 2 ปี รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน ให้จำเลยไปเข้ารับการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับการระงับควบคุมอารมณ์ที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน และให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์มีกำหนด 30 ชั่วโมง โดยศาลฎีกาให้เหตุผลประกอบการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษเช่นนี้เนื่องจากไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน และเหตุที่เกิดขึ้นผู้ตายก็มีส่วนผิดด้วย การรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยน่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยและสังคมโดยรวมมากกว่าการจำคุก
"เมื่อมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตามกฎหมาย มีผลว่าจำเลยทราบคำพิพากษาของศาลฎีกาแล้ว ขั้นตอนต่อไปจำเลยต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา แม้ว่าโทษจำคุกจะรอการลงโทษไว้ แต่จำเลยก็ยังมีหน้าที่ไปพบพนักงานคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม เข้ารับการอบรม และกระทำกิจกรรมบริการสังคมตามคำสั่งศาล หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขคุมประพฤติดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของพนักงานคุมประพฤติที่ต้องรายงานศาล ซึ่งหากได้ความว่าจำเลยยังหลบหนีแล้วไม่ไปพบพนักงานคุมประพฤติ จะถูกศาลออกหมายจับมาบังคับตามคำพิพากษาต่อไป ซึ่งการบังคับตามคำสั่งศาลที่ให้คุมประพฤติ ด้วยวิธีการออกหมายจับจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติคุมประพฤติ พ.ศ.2559 มาตรา 32 วรรคสอง ส่วนค่าปรับหากจำเลยไม่ชำระก็อาจถูกยึดทรัพย์ชำระค่าปรับได้แม้จะหลบหนีไปก็ตาม สำหรับคดีส่วนแพ่งเป็นเรื่องที่ญาติผู้ตายในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาต้องดำเนินการร่วมกับเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม" นายศุภกิจ กล่าว
อ่านประกอบ : ทำเกินสมควรแต่ฝ่ายผู้ตายผิดด้วย! คำพิพากษาฎีกาไฉนรอลงอาญา‘ลุงวิศวะ’คดียิงวัยรุ่น?
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่https://www.facebook.com/isranewsfanpage