ครม.ไฟเขียวเปิดเอกชนร่วมทุนฯ PPP Net Cost โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย รัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เปิดเอกชนลงทุนงานระบบ-ให้สิทธิบริหารสัมปทาน 15 ปี
.................
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศไปสู่ภายในประเทศ รวมถึงเชื่อมต่อระบบการขนส่งจากถนนไปสู่ทางรถไฟ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน หรือบอร์ด PPP เสนอ
สำหรับโครงการดังกล่าวภาครัฐจะเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบของ PPP Net Cost โดยภาครัฐเป็นผู้ลงทุนค่าที่ดิน ค่าก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนเอกชนเป็นผู้ลงทุนค่าอุปกรณ์ขนถ่ายสินค้า อุปกรณ์สำนักงานและส่วนประกอบ และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการบริหารด้านการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์และเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบในส่วนของการดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) ทั้งหมด รวมทั้งเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้และจ่ายค่าสัมปทานให้ภาครัฐตลอดระยะเวลา 15 ปี นับจากปีเปิดให้บริการ
นายอนุชา ระบุว่า ครม.ยังอนุมัติค่างานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 2 ของโครงการฯ 660.43 ล้านบาท ซึ่งเป็นการก่อสร้างขยายในส่วนพื้นที่ปฏิบัติงาน เช่น อาคารเปลี่ยนถ่ายและบรรจุสินค้า และลานกองเก็บตู้สินค้า เป็นต้น มีระยะเวลาก่อสร้างตั้งแต่ปี 2566-2568 เพื่อรองรับเส้นทางรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568
พร้อมกันนั้น ครม.ได้อนุมัติค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ที่ดินสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 34.22 ล้านบาท และวงเงินหลักประกันตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่เกี่ยวข้อง 2 แสนบาท
ทั้งนี้ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จ.เชียงราย เป็นศูนย์ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ที่สามารถดำเนินพิธีการที่เกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกได้ในจุดเดียว โดยตั้งอยู่บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ข้ามแม่น้ำโขง) แห่งที่ 4 ประชิดด่านพรมแดนเชียงของ จังหวัดเชียงรายฝั่เหนือ เนื้อที่รวมประมาณ 335 ไร่
ส่วนการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยกรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระยะที่ 1 แล้วเสร็จเมื่อเดือนธ.ค.2563 ซึ่งกรมฯจะเป็นผู้ให้บริการและบริหารโครงการระยะที่ 1 ที่จะเปิดให้บริการในเดือนพ.ค.นี้ ไปพลางก่อนจนกว่าจะเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนและบริหารโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายฯเต็มรูปแบบในปี 2565
รายงานข่าวแจ้งว่า ครม.มอบหมายให้ ขบ. กระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่งพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 หรือคณะกรรมการคัดเลือกฯ รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และคณะกรรมการนโยบายฯ ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ด้านน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในปีงบประมาณ 2563 โดยรฟม.มีผลประกอบการกำไรสุทธิ 1,819.25 ล้านบาท มีรายได้ 14,876.97 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวม 13,057.72 ล้านบาท สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ 99.99% จากเป้าหมายที่ครม.กำหนดไว้ที่ 95%
ขณะเดียวกัน รฟม.ยังมีรายได้จากธุรกิจต่อเนื่องจากรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคลจำนวน 123.72 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 2.69 ล้านบาท และสายฉลองรัชธรรม 27.51 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 2.33 ล้านบาท ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ 0.90%
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต รฟม.มีแผนที่จะหารายได้จากธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 5% ในแต่ละปี โดยในปี 2564 จะมีรายได้ประมาณ 169 ล้านบาท และในปี 2564 และ 2565 จะมีผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ 0.72% และ 0.90% ตามลำดับ
ส่วนด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนมีผลการดำเนินการ ดังนี้ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ได้เปิดให้บริการแล้ว ส่วนรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้จัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเสร็จแล้ว ส่วนงานก่อสร้างงานโยธามีความก้าวหน้า 69.82% เร็วกว่าแผน 2.77% คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนต.ค.2567
ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี ในส่วนงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบพื้นที่โครงการได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ส่วนงานก่อสร้างงานโยธา ผลิตและติดตั้งงานระบบรถไฟฟ้าและงานเดินรถมีความก้าวหน้า 62.23% เร็วกว่าแผน 3.08% คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมิ.ย.2565
นอกจากนี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวดราคามี 1 โครงการ คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ(วงแหวนกาญจนาภิเษก) โดยงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความก้าวหน้า 19.20% เป็นไปตามแผน และงานศึกษาและวิเคราะห์โครงการตามพ.ร.บ.ร่วมทุนฯมีความก้าวหน้า 48.80% ซึ่งเป็นไปตามแผนเช่นกัน คาดว่าจะเปิดให้บริการในเดือนมี.ค.2570
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage