แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวออกแถลงการณ์เรียกร้องรัฐบาลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องเริ่มปฏิบัติการตรวจค้นและให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญาหลายร้อยคนที่กำลังประสบภัยอยู่กลางทะเลโดยทันที เนื่องจากมีรายงานมากมายที่ระบุว่า เรือเหล่านี้เสี่ยงภัยอันตรายเดินทางเพื่อแสวงหาความปลอดภัย ระบุรัฐบาลในภูมิภาคต่างเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน และมีช่องทางที่จะช่วยชีวิตพวกเขาได้หากร่วมมือกัน
วิกฤติด้านมนุษยธรรมครั้งนี้คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคเมื่อห้าปีก่อน ที่ผ่านมาทางการมาเลเซียผลักดันอย่างเต็มที่ไม่ให้เรือเหล่านี้เข้าฝั่ง และผลักให้ชาวโรฮิงญาที่ต้องการความช่วยเหลือออกจากชายฝั่งไปเรื่อย ๆ ในขณะที่ประเทศไทยยังไม่ได้ระบุว่าได้ให้ความช่วยเหลือต่อเรือลำใดที่แล่นเข้ามาใกล้ชายฝั่งของตน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้พบเห็นเรือกลางทะเลที่บรรทุกชาวโรฮิงญาหลายพันคนที่ต้องการความช่วยเหลือ และหลบหนีจากการประหัตประหารในเมียนมาหรือค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ พวกเขาต้องการขอลี้ภัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องรัฐบาลในภูมิภาคให้อนุญาตพวกเขาขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย และขอให้รัฐภาคีของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออาเซียน (ASEAN) ให้ความเห็นชอบต่อมาตรการเร่งด่วนโดยทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรม พร้อมกับปฏิบัติตามมาตรการเพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ที่มีอยู่ตามแนวพรมแดนประเทศของตน
แคลร์ อัลแกร์ ผู้อำนวยการอาวุโสแผนกวิจัย รณรงค์กดดันและนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า การต่อสู้กับโรคโควิด-19 ต้องไม่กลายเป็นข้ออ้างสำหรับรัฐบาลในภูมิภาค ที่จะปล่อยให้ทะเลกลายเป็นสุสานสำหรับชาวโรฮิงญาที่ต้องการความช่วยเหลือ
“รัฐบาลในภูมิภาคเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาแล้ว และมีช่องทางที่จะช่วยชีวิตพวกเขา”
“หากปราศจากความร่วมมือ อาเซียนจะต้องเผชิญกับวิกฤติด้านมนุษยธรรมครั้งใหม่ ในระหว่างที่ต้องต่อสู้กับโรคระบาดระดับโลก เราไม่อาจยอมรับได้ที่จะปล่อยให้เรือล่องไปโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ และเรือหลายลำถูกผลักดันให้ออกจากชายฝั่งที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขา”
รายงานข่าวผู้เสี่ยงภัยเดินทางที่อันตราย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้รับข้อมูลว่า มีผู้พบเห็นเรือประมาณสามถึงห้าลำที่น่าจะบรรทุกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา ด้านนอกชายฝั่งของมาเลเซียและภาคใต้ของไทยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เชื่อว่ามีคนอยู่บนเรือหลายร้อยคน
ในวันที่ 16 เมษายน กองทัพเรือมาเลเซียผลักดันเรือที่ขนชาวโรฮิงญาประมาณ 200 คน ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็กออกจากชายฝั่ง โดยมีรายงานว่าได้จัดเสบียงอาหารให้กับคนบนเรือ รัฐบาลมาเลเซียอ้างความจำเป็นจากมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อผลักดันเรือออกจากชายฝั่งของตน
ในวันที่ 15 เมษายน หน่วยลาดตระเวนชายฝั่งบังกลาเทศได้ช่วยชีวิตชาวโรฮิงญา 396 คนจากเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่ง เป็นเรือที่ถูกทางการมาเลเซียผลักดันออกมาก่อนหน้านี้ และเชื่อว่าลอยลำอยู่กลางทะเลมาสองเดือนแล้ว
รายงานในเบื้องต้นระบุว่า มีผู้อยู่บนเรือ 32 คนที่เสียชีวิตกลางทะเล แต่คาดว่าตัวเลขในปัจจุบัน น่าจะเพิ่มเป็นเกือบสองเท่าแล้ว เป็นเหตุให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติระบุว่า ผู้รอดชีวิตต่างอยู่ในสภาพขาดอาหารและขาดน้ำอย่างรุนแรง
ต้องมีมาตรการในระดับภูมิภาคอย่างเร่งด่วน
รัฐบาลในภูมิภาคได้ประกาศใช้มาตรการจำกัดสิทธิในภาวะฉุกเฉินตามแนวพรมแดนของตน เพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 มาเลเซียและไทยได้ติดตามการเคลื่อนไหวของเรือที่บรรทุกชาวโรฮิงญานอกชายฝั่งของตนมาตลอด ในขณะที่มาเลเซียยอมให้เรือลำหนึ่งเข้าฝั่ง แต่ก็ได้ผลักดันเรืออีกหลายลำให้ออกไป ส่วนประเทศไทยไม่ได้ระบุว่ามีการตรวจพบเรือลำใด หรือได้ให้ความช่วยเหลืออย่างไร
“ทั้งไทยและมาเลเซียต่างทราบว่าชีวิตคนเหล่านี้อยู่ในอันตราย การปฏิเสธไม่ให้ความช่วยเหลือกับคนในเรือเหล่านี้ย่อมเป็นเหมือนการเสแสร้งว่าตาบอด ย่อมทำให้ชะตากรรมของพวกเขาเลวร้ายลงอย่างจงใจ”
“ไทยและมาเลเซียควรส่งเรือออกไปตรวจหาและช่วยชีวิตคนเหล่านี้ทันที ให้ส่งอาหาร น้ำ และเวชภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วนของคนหลายร้อยคนที่ติดอยู่กลางทะเล รัฐบาลประเทศเหล่านี้ควรอนุญาตให้คนเหล่านี้ขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัยทันที และให้ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับมาตรการด้านโรคโควิด-19 ดังที่มาเลเซียได้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในเรื่องนี้ช่วงต้นเดือนนี้” แคลร์ อัลแกร์กล่าว
ในวันที่ 5 เมษายน กรมเจ้าท่าของมาเลเซีย ตรวจพบ เรืออีกลำหนึ่งซึ่งมีชาวโรฮิงญา 202 คน และมีการนำตัวผู้โดยสารเรือเหล่านี้เข้าฝั่งอย่างปลอดภัย และอยู่ระหว่างการกักตัวตามมาตรการโรคโควิด-19
ช่วงต้นสัปดาห์นี้ รัฐภาคีอาเซียนเผยแพร่ปฎิญญาภายหลังการประชุมผ่านอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ยืนยันพันธกิจของหน่วยงานภูมิภาคที่จะ “ดูแลและแบ่งปันในประชาคมอาเซียน โดยรัฐภาคีอาเซียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในช่วงเวลาอันท้าทาย” หน่วยงานภูมิภาคนี้ เคยแสดงพันธกิจก่อนหน้านี้ว่า “จะเรียนรู้จากวิกฤติในอดีตและจะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้พลัดถิ่น” โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน
“เมื่อสัปดาห์นี้เอง รัฐบาลอาเซียนส่งสัญญาณแสดงความเป็นเอกภาพท่ามกลางช่วงเวลาที่ยุ่งยาก” แคลร์ อัลแกร์กล่าว “พวกเขาต้องขยายความเมตตาเช่นนี้ไปยังผู้ที่กำลังเสี่ยงภัยอยู่กลางทะเลด้วย”
“รัฐภาคีอาเซียนต้องประกันว่า นโยบายเกี่ยวกับโรคโควิด-19 จะคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกคน และไม่ทำร้ายผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการคุ้มครองระหว่างประเทศ”