อุปนายกแพทยสภา และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราช เรียกร้องให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงไวรัส COVID-19 ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ป้องกันการแพร่ระบาด ด้วยการให้ข้อมูลที่เป็นจริง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าวันที่ 27 ก.พ. 2563 ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทย สภา คนที่ 1 และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานการแถลงข่าว “เรียกร้องประชาชนกลุ่มเสี่ยงไวรัส COVID-19 ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ป้องกันการแพร่ระบาด ด้วยการให้ข้อมูล ที่เป็นจริง” ร่วมด้วย ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราช พยาบาล และ ศ.พญ.ยุพิน ศุพุทธมงคล หัวหน้าสาขาวิชาโรคติดเชื้อและอายุรศาสตร์เขตร้อน ภาควิชาอายุรศาสตร์ ณ ห้อง D 204 อาคารศรีสวรินทิรา ชั้น 2 รพ.ศิริราช
ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ กล่าวถึงสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ในหลายประเทศขณะนี้ และการเดินทางไปต่างประเทศที่สะดวก รวดเร็ว ทําให้ประเทศไทยเสี่ยงต่อการระบาดเป็นวงกว้าง จากการนําเชื้อจาก แหล่งระบาดมาแพร่ต่อในประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยและสูญเสียอย่างมากตามมา แม้จะคาดกันว่าใน ที่สุด โรค COVID-19 จะระบาดไปทั่วโลก แต่ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทย ต้องการให้การระบาดที่อาจจะเกิดขึ้น มีการชะลอให้ช้าที่สุด มีผู้ป่วยน้อยที่สุด เพื่อให้ระบบสาธารณสุขที่มีสามารถดูแลรองรับผู้ป่วยได้โดยไม่ส่งผลกระทบ ต่อคุณภาพการบริการ รวมทั้งเวลาที่ชะลอได้นี้ จะทําให้เกิดความพร้อมทั้งเครื่องมือ การตรวจทางห้องปฏิบัติการ และ ยามากขึ้น จึงได้มีการขอความร่วมมือให้ 'งด' การเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดในช่วงนี้ และรีบวินิจฉัย แยก ผู้ป่วยให้เร็วที่สุด
"สาเหตุหนึ่งของการระบาด คือ การที่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค ซึ่งได้แก่ ผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดสูง ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ รวมทั้งอิตาลี และอิหร่าน (และ อาจมีจํานวนประเทศเพิ่มขึ้นอีกในเร็ว ๆ นี้) ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง โดยไม่แยกตัว หลังจากเดินทางกลับ ทําให้มีโอกาสไปแพร่เชื้อได้ต่อเนื่อง และไม่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางเมื่อเจ็บป่วย ทําให้ แพทย์วินิจฉัยโรคได้ล่าช้า ดังเช่นกรณีผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงและมีอาการไข้ ไอ หายใจลําบาก เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล แต่ไม่เปิดเผยประวัติการเดินทาง ทําให้บุคคลใกล้ชิดทั้งที่บ้าน ที่ทํางาน หรือ บุคลากรทางการแพทย์ไม่ทันเตรียมตัวป้องกันการติดต่ออย่างถูกต้อง อันอาจนํามาซึ่งการแพร่ระบาดของโรคใน วงกว้างต่อ"
ด้าน ศ.พญ.ยุพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอเรียกร้องให้ผู้มีประวัติเสี่ยงตระหนักถึงผลกระทบต่างๆ ร่วมกันรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว และต่อประเทศชาติ หยุดการแพร่กระจายโรค โดยการแยกตัวจนกว่าจะพ้นระยะฟักตัวของโรค หากเจ็บป่วยต้องให้ประวัติที่แท้จริงเมื่อเข้ารับการตรวจรักษาในสถานพยาบาล เพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส COVID-19 ในประเทศไทย และขอให้คําแนะนําสําหรับประชาชน และครอบครัวที่เดินทางไปต่างประเทศในช่วงที่ มีการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 ดังนี้
@ผู้ที่เดินทางกลับหรือแวะพักจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ จีน มาเก๊า ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี
- แจ้งการเดินทางกลับแก่ผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นทางโทรศัพท์ทันทีเพื่อลางาน
- หยุดทํางานหรืออยู่บ้านเป็นเวลา 14 วันนับจากเดินทางถึงประเทศไทย
- แยกพื้นที่อาศัย เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ กับผู้อื่น ถ้าเป็นไปได้เลือกอยู่ในบริเวณที่อากาศถ่ายเทดี
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดบุคคลในที่พักอาศัยอย่างน้อย 1 เมตร (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ และผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ)
- ทําความสะอาดมือด้วยสบู่และน้ำ หรือ แอลกอฮอล์เจล เป็นประจําอย่างเคร่งครัด
- ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ
- จัดหาอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้กับผู้สัมผัสใกล้ชิดด้วย เช่น หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์เจล ฯลฯ
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปที่ชุมชน
@ผู้ที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกับกลุ่มที่ 1 ในช่วง 14 วันแรก
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้นั้นในที่พักอาศัยอย่างน้อย 1 เมตร (โดยเฉพาะท่านที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ และผู้ที่ภูมิคุ้มกันต่ำ)
- ทําความสะอาดมือด้วยสบู่และน้ำ หรือ แอลกอฮอล์เจล เป็นประจําอย่างเคร่งครัด
- ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้นั้น เช่น จาน ชาม ช้อนส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ
- ใส่หน้ากากอนามัย ถ้าจําเป็นต้องใกล้ชิดผู้นั้น
@ทั้งสองกลุ่ม ต้องเฝ้าระวังอาการเจ็บป่วยของตนเองและผู้ใกล้ชิด ที่อาจบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ ได้แก่
- อาการไข้ ถ้ารู้สึกว่ามีไข้ ให้ตรวจวัดอุณหภูมิอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง ว่าอุณหภูมิที่วัดทางปากมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส หรือทางรักแร้มากกว่า 37.0 องศาเซลเซียสหรือไม่
- อาการผิดปกติของทางเดินหายใจเฉียบพลัน เช่น ไอ น้ำมูก เจ็บคอ เหนื่อยหอบ หรือหายใจเร็วหากผู้ที่เพิ่งเดินทางกลับหรือแวะพักจากประเทศต่าง ๆ ดังกล่าวหรือคนในครอบครัวมีอาการผิดปกติ ข้างต้นทั้ง 2 ข้อ ให้ติดต่อโรงพยาบาลตามสิทธิการรักษาหรือ โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง หรือ สอบถาม สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ส่วนศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวถึงกรณีมีเด็กร่วมเดินทางไปในประเทศที่เสี่ยงด้วยให้รีบแจ้งโรงเรียนและหยุดไปเรียน อยู่บ้าน ไม่ไปในสถานที่สาธารณะ กับเด็กอื่น ๆ เป็นเวลา 14 วัน หลังจากเดินทางกลับ เด็กๆ อาจไม่สามารถใส่หน้ากากอนามัยได้ก็ไม่เป็นไร แต่ควรเน้นให้ล้างมือด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อย ๆ และหากมีอาการเจ็บป่วย ให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ในกรณีที่มีเด็กอยู่ร่วมบ้านกับผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงควรแยกเด็กให้ห่างออกมา
ทั้งนี้เมื่อเดินทางมาพบแพทย์ หรือมาโรงพยาบาลควรหลีกเลี่ยงการเดินทางสาธารณะ เมื่อเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวให้เปิดหน้าต่างรถยนต์ไว้เสมอ ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร และไม่สัมผัสผู้อื่นหรือสิ่งของต่างๆ โดยไม่จําเป็น หรือแจ้งบุคลากรของโรงพยาบาลทันทีว่าท่านมีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อโคโรน่าไวรัส 2019