ประธาน กสม. ส่งสารวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. ประจำปี 2562 ขอสังคมช่วยดูแลคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน-ร่วมสร้างสรรค์สังคมเคารพสิทธิฯ
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2562 นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีสารเนื่องในโอกาสวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธ.ค. ประจำปี 2562 โดยสารกล่าวถึงเหตุการณ์สงครามโลก ครั้งที่ 2 ที่เกิดการประหัตประหารระหว่างมวลมนุษยชาติอย่างโหดร้าย กว้างขวาง ทำให้ทุกฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนว่ามีส่วนสำคัญต่อการธำรงสันติภาพของโลก และเมื่อมีการรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 จึงได้ถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันสิทธิมนุษยชนสากล
นอกจากนั้น ปีนี้ยังมีความสำคัญพิเศษเนื่องจากครบรอบ 30 ปี ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child : CRC) องค์การสหประชาชาติจึงได้ถือโอกาสพิเศษนี้รณรงค์ให้ทั่วโลกเห็นความสำคัญของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่จะมีส่วนร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้สังคมเกิดการเคารพสิทธิและเสรีภาพ ภายใต้หัวข้อ ‘เยาวชนคนรุ่นใหม่ ยืนเคียงข้างสิทธิมนุษยชน’ (Youth Standing up For Human Rights)
โดยที่ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กและมีพันธกรณีที่จะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของเด็กทุกคนในประเทศให้อยู่รอดและเติบโตเต็มตามศักยภาพ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จึงได้เสนอมาตรการในการแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะนโยบายที่สำคัญต่ออรัฐบาลในการคุ้มครองสิทธิของเด็กและเยาวชนหลายประการ อาทิ การแก้ไขระเบียบห้ามเปิดเผยประวัติอาชญากรรมของเด็กและเยาวชนเพื่อให้เด็กที่ก้าวพลาดได้มีโอกาสกลับคืนสู่สังคม การขอให้นำเด็กที่ติดตามครอบครัวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายออกจากสถานกักตัวและให้ได้รับการดูแลตามสิทธิขั้นพื้นฐาน การเคารพสิทธิของเด็กในการแต่งเครื่องแบบนักเรียนตามหลักความเชื่อทางศาสนา การสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยศูนย์การเรียนของชุมชน และการร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการจัดทำคู่มือการจัดการเรียนรู้สิทธิมนุษยชนศึกษา ตั้งแต่ชั้นปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เพื่อให้เกิดการเรียนรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ
ทั้งนี้ ในโอกาสสำคัญดังกล่าว นายวัสได้กล่าวเชิญชวนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และขอให้สังคมร่วมกันสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญของชาติ ได้เติบโตอย่างมีศักดิ์ศรีและมีภูมิคุ้มกัน สามารถพัฒนาตนได้เต็มตามศักยภาพ ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต และมีส่วนร่วมสร้างวัฒนธรรมแห่งการเคารพสิทธิมนุษยชนให้เกิดขึ้นในสังคมต่อไป