ตัวแทนแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงรองนายกรัฐมนตรีประวิตร วงษ์สุวรรณและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนการทำร้ายอย่างรุนแรงต่อสามนักกิจกรรม และคุ้มครองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ โดยมี พล.ต.ต. ทนัย อภิชาติเสนีย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาล และพ.ต.อ. คมสัน สุขมาก รองผู้บังคับการคดีปกครองและคดีแพ่ง สำนักงานกฎหมายและคดี เป็นตัวแทนรับหนังสือ
นายนิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเผยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อนักกิจกรรมทางการเมืองและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอยู่ในระดับที่น่าตกใจ มีโจมตีที่เป็นการใช้ความรุนแรงอย่างเป็นระบบ มีการกำหนดช่วงเวลาของการทำร้ายที่สอดคล้องกับการดำเนินกิจกรรมรณรงค์ และมีรายงานว่า นักกิจกรรมทางการเมืองถูกข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย และการคุกคามในรูปแบบอื่นๆ เนื่องมาจากการทำกิจกรรมของพวกเขา
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ขอให้รัฐบาลไทยดำเนินการตรวจสอบเพื่อหาทางป้องกันเหตุร้าย และให้สอบสวนเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เนื่องจากจนถึงปัจจุบันทางการยังไม่สามารถระบุตัวผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทำร้ายที่เกิดขึ้นกับสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ อนุรักษ์ เจนตวนิชย์ และเอกชัย หงส์กังวานได้”
นิโคลัสกล่าวเสริมถึงการเรียกร้องรัฐบาลให้เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าและข้อค้นพบในการสอบสวน และแจ้งให้ผู้เสียหายทราบข้อมูลเหล่านี้ รวมทั้งวิธีการและขั้นตอนปฏิบัติในการสอบสวนเหตุการณ์ทำร้าย โดยให้แจ้งข้อมูลโดยทันทีและอย่างสม่ำเสมอ
“เราขอกระตุ้นให้รัฐบาลไทยดำเนินการสอบสวนโดยทันที อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรม เป็นอิสระต่อเหตุการณ์ตามทำร้ายสามนักกิจกรรม และให้นำตัวผู้กระทำผิดมาไต่สวนตามกระบวนการยุติธรรมที่สอดคล้องกับมาตรฐานความเป็นธรรมระหว่างประเทศ”
ด้านนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ตัวแทนยื่นจดหมายกล่าวแสดงความยินดีที่ตัวแทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมารับจดหมาย และเน้นย้ำความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและมั่นคงของนักกิจกรรม และกระตุ้นทางการไทยให้หามาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองไม่ให้นักกิจกรรมได้รับอันตราย และคุ้มครองสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ
“รัฐบาลต้องให้การคุ้มครองประชาชนให้สามารถใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบโดยไม่ต้องหวาดกลัวต่อการคุกคาม การตอบโต้ หรือการแก้แค้น และให้ยุติการดำเนินคดีอาญาอันเป็นการแทรกแซงสิทธิเหล่านี้”
นอกจากนั้น ผอ.แอมเนสตี้ ประเทศไทยยังตั้งข้อสังเกตว่า นักกิจกรรมทั้งสามคนถูกดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา อันเป็นผลมาจากการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ รวมทั้งการดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น ละเมิดพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ และละเมิดข้อห้ามต่อการชุมนุม “ทางการเมือง” ของบุคคลห้าคนหรือกว่านั้น ซึ่งข้อหาทั้งหมดล้วนเป็นการแทรกแซงโดยไม่ชอบธรรมต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบของพวกเขา
“ทางการไทยต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม สอดคล้องกับพันธกรณีที่มีต่อกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในการให้การคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ต้องเตรียมมาตรการรับมือกรณีที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนร้องขอความคุ้มครองด้านความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน และเมื่อเกิดเหตุการคุกคาม ทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องสืบสวนหาผู้กระทำความผิดโดยเร็วที่สุด” ปิยนุชกล่าว
ด้าน พล.ต.ต. ทนัย อภิชาติเสนีย์ รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจสันติบาล กล่าวหลังรับหนังสือว่า เชื่อว่าประชาชนทุกคนรวมถึงตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง รองนายกฯ ก็ให้ความห่วงใย ต้องการสืบสวนสอบสวนอย่างเต็มที่ ท่าน ผบ.ตร.ท่านก็ลงมาดูด้วยตัวเอง ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ทางแอมเนสตี้และทุกภาคส่วนของประเทศไทยให้ความสนใจ แล้วก็ไม่ปล่อยไปเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา ซึ่งก็ทราบว่าคดีที่ผ่านมาก็อยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งได้นำสำนวนมารวบรวมอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถรายงานความคืบหน้าให้ประชาชนได้ทราบต่อไป ในส่วนนี้ก็จะขอรับหนังสือจากทางแอมเนสตี้ไว้ แล้วก็จะนำเรียนท่าน ผบ.ตร. เพื่อสั่งการให้ผู้รับผิดชอบดำเนินการสอบสวนต่อไป ก็ขอบคุณแอมเนสตี้ที่เป็นหูเป็นตาและห่วงใยในกรณีนี้